วันที่ 29 พ.ค. รอยเตอร์รายงานว่า รัฐบาลฮ่องกงเรียกร้องให้สหรัฐฯ หยุดก้าวก่ายกิจการภายในของจีน ในประเด็นกฎหมายความมั่นคงที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบของสภา และเตือนว่าการเพิกถอนสถานะพิเศษทางการค้าของฮ่องกงจะกลายเป็น “ดาบสองคม” ที่ทิ่มแทงสหรัฐฯ เอง
ด้านประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เตรียมแถลงมาตรการตอบโต้กรณีรัฐสภาจีนลงมติรับรองแผนการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติในฮ่องกง ซึ่งนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและชาติตะวันตกเกรงว่าจะเป็นการบ่อนทำลายเสรีภาพของพลเมืองฮ่องกง
รัฐบาลฮ่องกงแถลงว่า มาตรการคว่ำบาตรใดๆ ก็ตาม จะกลายเป็นดาบสองคมที่ไม่เพียงทำลายผลประโยชน์ของฮ่องกงเท่านั้น แต่รวมถึงผลประโยชน์ของสหรัฐฯ เองด้วย
ทางการฮ่องกงยังเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงปี 2009-2018 ที่สหรัฐฯ ได้ดุลการค้าฮ่องกงสูงถึง 297,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มากยิ่งกว่าประเทศคู่ค้ารายอื่นใด อีกทั้งยังมีบริษัทอเมริกันเข้าไปเปิดกิจการในฮ่องกงมากถึง 1,300 ราย
กฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ มุ่งลงโทษผู้ที่พยายามแบ่งแยกดินแดน ล้มล้างอำนาจรัฐ ก่อการร้าย และกระทำการใดๆ ที่เป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ ตลอดจนอนุญาตให้หน่วยงานด้านความมั่นคงของจีนเข้าไปปฏิบัติการในฮ่องกงได้อย่างเปิดเผย
แผนการของจีนได้ปลุกชาวฮ่องกงให้ลุกขึ้นมาแสดงพลังใหญ่ครั้งแรกในรอบหลายเดือน ผู้ประท้วงนับพันซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวออกมาเดินขบวนที่ใจกลางย่านธุรกิจในสัปดาห์นี้ ซึ่งทำให้ตำรวจฮ่องกงต้องยิงกระสุนพริกไทยเข้าสลายการชุมนุม
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุในรายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่สามารถรับรองได้อีกต่อไปว่าฮ่องกงได้รับการปฏิบัติที่แตกต่างจากรัฐบาลจีน
แลร์รี คัดโลว์ ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เตือนว่า ฮ่องกงซึ่งเคยได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าจากสหรัฐฯ ภายใต้เงื่อนไขของการมีอำนาจปกครองตนเองขั้นสูง อาจจะต้องถูกปฏิบัติไม่ต่างจากจีน ทั้งในแง่การค้าและการเงิน นับจากนี้ไป
นาง แคร์รี ลัม ผู้บริหารสูงสุดฮ่องกง ได้ออกแถลงการณ์ซึ่งตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หลายฉบับวันนี้ โดยเรียกร้องให้เพื่อนร่วมชาติทุกคนจับมือกันเดินตามความฝัน และขอให้ละวางความเห็นต่างลงก่อน
เธอย้ำอีกครั้งว่า กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติคือสิ่งจำเป็น เนื่องจากฮ่องกงกำลังเผชิญภัยคุกคามก่อการร้าย และองค์กรต่างๆ ที่เรียกร้อง “การมีเอกราชและการกำหนดอนาคตของตนเอง” เริ่มท้าทายอำนาจของจีนและรัฐบาลท้องถิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังดึงต่างชาติให้เข้ามาก้าวก่ายกิจการภายในของจีนด้วย