
หญิงสาวขณะอยู่บนรถแท็กซี่
จากกรณีหญิงสาววัย 22ปี ได้นำข้อความโพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า ตนเองได้เข้าไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งใน อ.เมืองสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน หลังจากมีอาการตกเลือดเกือบถึงแก่ชีวิตแต่หลังจากแพทย์ได้ตรวจรักษาในเบื้องต้นซึ่งเด็กในครรภ์ยังหัวใจเต้นตามปกติ เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลให้ตนเองให้นั่งรถแท็กซี่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่งซึ่งเป็นโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคม จนระหว่างทางตนเองปวดท้องจนแทบจะหมดสติและลูกในครรภ์ยังมาเสียชีวิต
วันที่ 5 พ.ย. น.ส. สิริกาญจน์ ร่วมสำเภา อายุ 22 ปี เจ้าของโพสต์ เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่าตนตั้งครรภ์ได้ประมาณ 4 เดือน เมื่อช่วงประมาณ 7.10 น. ของวันอาทิตย์ที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ตนมีอาการปวดท้อง มีน้ำคร่ำและเลือดไหลออกจากช่องคลอด สามีจึงรีบพาไปโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลรีบนำตนเข้าห้องฉุกเฉิน และพาไปทำการอัลตร้าซาวด์เพื่อฟังเสียงหัวใจของลูกในครรภ์โดยผลการเต้นของหัวใจลูกเป็นปกติ แต่แพทย์ที่ตรวจแนะนำว่าทางที่ดีเพื่อความปลอดภัยของเด็กในครรภ์ควรฉีดยาระงับคลอดและมีการเคลื่อนย้ายตนขึ้นไปพักบนตึกผู้ป่วย
แต่เมื่อขึ้นไปบนตึกผู้ป่วย เจ้าหน้าที่กลับมาถามตนว่าทำไมไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิ์ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการรักษาโดยพยายามพูดย้ำว่าหากรักษาตัวที่โรงพยาบาลนี้จะต้องจ่ายค่ารักษาเอง และถามย้ำตนว่าจะย้ายโรงพยาบาลหรือไม่ ซึ่งในใจตนคิดว่าอาการตนหนักขนาดนี้ มีเลือดไหลมากขนาดนี้ทางโรงพยาบาลคงจะมีรถพยาบาลไปส่งยังโรงพยาบาลที่ตนมีสิทธิ์รักษาเพราะมีระยะทางห่างกันประมาณ 12 กิโลเมตร ซึ่งไม่ใช้ระยะทางที่ใกล้สำหรับผู้ป่วยอาการหนัก ตนจึงรับปากไปว่าจะย้ายโรงพยาบาลซึ่งตนเองก็ได้โทรศัพท์ไปปรึกษาคุณแม่และทางคุณแม่เองก็ถามย้ำว่าตนไหวเหรอซึ่งตนได้ตอบแม่ไปว่าไม่ไหวก็ต้องไหว เพราะทางเจ้าหน้าที่เขาให้ย้าย
จากนั้นเวลาประมาณ 9.00น.ตนได้โทรศัพท์ตามพี่สะใภ้ให้มาอยู่เป็นเพื่อนและมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลมาพาตนนั่งรถเข็นของโรงพยาบาลไปรอเรียกรถแท็กซี่ที่หน้าโรงพยาบาลตรงจุดรับส่งผู้ป่วย จนพี่สะใภ้ทนเห็นสภาพตนไม่ไหวและโวยวายขึ้นว่าผู้ป่วยหนักขนาดนี้ไม่มีรถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยแต่กลับให้เรียกรถแท็กซี่ย้ายโรงพยาบาลเอง เมื่อตนนั่งรถแท็กซี่ไปถึงโรงพยาบาลที่มีสิทธิ์ประกันสังคมลูกได้คลอดออกมาและเสียชีวิตในเวลาประมาณ 10.00น. โดยตนเองเสียเลือดจำนวนมากจนต้องมีการรับบริจาคเลือด จนล่าสุดอาการปลอดภัยและได้ออกจากโรงพยาบาลมาเมื่อวานนี้
ในส่วนเรื่องลูกนั้นตนเองทำใจไว้อยู่แล้วเนื่องจากทางห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลรัฐได้แจ้งว่าถ้าจะยื้อชีวิตต้องให้ยาระงับคลอดซึ่งตนเองก็ยังมีความหวังแต่ที่ติดใจเรื่องที่ละเลยคนไข้และทำไมต้องย้ายโรงพยาบาลเร่งด่วนขนาดนั้น ทั้งที่ตนเองก็ยินดีที่จะจ่ายเงินเองด้วยเนื่องจากตนเองเป็นห่วงชีวิต ทั้งนี้อยากเตือนในการเลือกโรงพยาบาล และควรที่ศึกษาขั้นตอนการเข้ารักษาเพราะแม้ตนป่วยฉุกเฉินก็ยังถูกละเลย เพียงสาเหตุที่ตนไม่ใช่คนไข้ที่มีสิทธิ์รักษาที่โรงพยาบาล
ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่โรงพยาบาลดังกล่าวเพื่อขอสัมภาษณ์ถึงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นโดยมีเจ้าหน้าที่พยาบาลออกมาให้การต้อนรับพร้อมกับได้แจ้งกับผู้สื่อข่าวว่าทางผู้อำนวยการติดประชุมและทางโรงยาบาลยังไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูลเนื่องจากต้องขอสอบสวนข้อเท็จจริงก่อน
ต่อมาหญิงสาวโพสต์ในเฟซบุ๊กเพิ่มเติมว่า ไม่ติดใจเรื่องลูกเพราะทำใจไว้แล้วว่าอย่างไรถ้าลูกออกมาก็ไม่รอด เพราะอายุครรภ์น้อย ส่วนช่วงที่มีอาการแปลกๆ ได้พบแพทย์ที่คลีนิกใกล้บ้าน ส่วนที่ข้องใจติดใจเลยคือ เรื่องการรักษาฉุกเฉินต้องไปตามสิทธิ์ประกันสังคมเท่านั้นหรือ และขอให้ฟังทางฝั่งโรงพยาบาลชี้แจง ในวันพุธ เวลา 10.00 น.