SHARE

คัดลอกแล้ว

มาราธอน = 42.195 กม. ฮาล์ฟมาราธอน = 21.1 กม. มินิมาราธอน = 10 กม. ฟันรัน น้อยกว่า 5 กม. การวิ่งมีหลายระยะ แต่ไม่ว่าระยะไหน และไม่ว่าจะวิ่งเร็วเท่าไหร่ ก็ไม่มีทางหนี PM 2.5 พ้นอยู่ดี แล้วแบบนี้ คนไทยยังควรวิ่งกลางแจ้งในช่วงที่มีฝุ่นจริงๆ หรือ…

 

คนไทยส่วนใหญ่รับรู้ว่า ฝุ่น PM 2.5 ส่งผลเสียต่อร่างกาย แต่หากถามว่า ผลเสียนั้นคืออะไร คำตอบอาจไม่แน่ชัด บ้างเชื่อว่าคงไม่ใช่ผลเสียที่ร้ายแรงขนาดนั้น

ผลเสียจะร้ายแรงหรือไม่คงขึ้นกับระดับความรู้สึกของปัจเจกบุคคล ทว่าจากข้อเท็จจริง งานวิจัยหลายชิ้นชี้ตรงกันว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นตัวกระตุ้นอันนำไปสู่โรคมะเร็ง ทั้งมะเร็งปอด ที่ PM 2.5 เล็กพอจะแทรกซึมและก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์เยื่อบุปอด มะเร็งเม็ดเลือดที่เกิดจากการกลายพันธุ์ เพราะมีการติดเชื้อในกระแสเลือด ตลอดจนมะเร็งตับและมะเร็งลำไส้ ซึ่งเกิดจากการสัมผัส PM 2.5 ในระยะยาว

พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามะเร็งคือต้นไม้พิษ ที่เติบโตภายในชีวิตมนุษย์ PM 2.5 ก็ไม่ต่างอะไรจาก ‘ปุ๋ยเร่งโต’ ที่พร้อมส่งเสริมเพิ่มพูนผลผลิตให้มีจำนวนที่มากขึ้น ในระยะเวลาที่สั้นลง

ภาพ สุภัทตรา โพล้งกล่ำ,ธนัญชัย แก้วโสวัฒนะ / Thai News Pix

อย่างไรก็ดี ในเมื่อคนไทยส่วนใหญ่ต่างได้รับปุ๋ยนี้ เป็นของขวัญอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง หลายคนจึงเชื่อว่าจะดีกว่าไหม หากเราตระเตรียมร่างกายตัวเองให้พร้อม ตลอดทั้งวันก็พยายามอยู่แต่ในอาคาร มีเพียงช่วงเช้าหรือเย็นเท่านั้น ที่ขอออกไปวิ่ง เพื่อให้ปอดและกล้ามเนื้อได้ขยับเขยื้อน

[ฟิตสู้ฝุ่น มีจริงไหม?]

เข้าใจดีว่า PM 2.5 ไม่ดีต่ออวัยวะภายใน แต่ออกไปวิ่งแค่วันละ 1-2 ชั่วโมงจะเป็นไรไป ปอดได้รับฝุ่นละอองก็จริง แต่ร่างกายน่าจะแข็งแรงขึ้น สามารถคงสภาพความฟิตเอาไว้ได้…?

นพ.อกนิษฐ์ ศรีสุขวัฒนา แพทย์หัวใจและการกีฬา (Sports Cardiologist) อายุรแพทย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ตอบคำถาม ‘ออกไปวิ่งแค่วันละ 1-2 ชั่วโมงจะเป็นไรไป’ เอาไว้ทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ใจความว่า ผู้ที่เล่นกีฬากลางแจ้ง โดยเฉพาะนักวิ่ง จะได้รับฝุ่น PM 2.5 มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว แต่จะมากกว่ากี่เท่าตัวนั้น ขึ้นกับความเร็วและระยะทางในการวิ่ง

นพ.อกนิษฐ์เผยว่า หากวิ่งเบาๆ (Easy Run) แบบที่ยังสามารถพูดคุยกับคนข้าง ๆ ได้ นักวิ่งจะมีอัตราการหายใจสูงกว่าปกติประมาณ 5 เท่า (ปริมาตรอากาศที่เข้า-ออกร่างกายเพิ่มขึ้น 5 เท่า) และหัวใจจะทำการสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้นจากปกติประมาณ 3 เท่า

และหากวิ่งเร็วขึ้นแบบที่ยังพอพูดเป็นคำ หรือประโยคสั้นๆ ได้ (Threshold Run) นักวิ่งจะหายใจเพิ่มขึ้น 10 เท่า เลือดสูบฉีดเพิ่มขึ้น 4 เท่าตัว

ขณะที่การวิ่งทำรอบด้วยความเร็วสูงสุด (Interval Run) นักวิ่งจะมีอัตราการหายใจสูงกว่าปกติถึง 20-25 เท่า อีกทั้งหัวใจจะสูบฉีดเลือดเพิ่มขึ้น 5 เท่าจากปกติเลยทีเดียว

จากข้อมูลดังกล่าวพอจะตีความคร่าวๆ ได้ว่า ในการวิ่งมาราธอน (42.195 กิโลเมตร) ด้วยอัตราเร็วกึ่งกลางระหว่าง Easy Run กับ Threshold Run นักวิ่งจะได้รับปุ๋ยพิษอย่าง PM2.5 จากการหายใจเพิ่มขึ้นประมาณ 7 เท่าตัว PM2.5 พุ่งตรงสู่ร่างกายจากการสูบฉีดเลือดมากขึ้น 3-4 เท่า และหากตีระยะเวลาการวิ่งมาราธอนเป็น 5 ชั่วโมง จะเท่ากับนักวิ่งต้องสัมผัส PM 2.5 มากกว่าคนที่ยืนเฉยๆ 7 คูณ 5 เท่ากับ 35 เท่า

สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะวิ่งสบายๆ รักษาความฟิตแบบ ‘ออกไปวิ่งแค่วันละ 1-2 ชั่วโมงจะเป็นไรไป’ หากคำนวนจากการวิ่ง Easy Run 1 ชั่วโมง ผลลัพธ์คือ นักวิ่งกลุ่มนี้จะได้รับฝุ่น PM2.5 มากกว่าคนทั่วไป 10 เท่าต่อจำนวนครั้งที่วิ่งนั่นเอง

“ดังนั้นการแข่งขันในวันที่ฝุ่น PM 2.5 สูง ทำให้เรารับฝุ่นมากกว่าที่เราคาดไว้มากๆ ครับ โดยเฉพาะในการแข่งระยะไกล กลุ่มเสี่ยงควรหลีกเลี่ยง เพราะมีโอกาสเกิดอันตรายฉับพลันได้ในเรื่องหลอดเลือดหัวใจและสมอง รวมถึงทางเดินหายใจครับ” นพ.อกนิษฐ์สรุป

ภาพ Thai News Pix

[สายวิ่งเอาไงต่อกันดี]

การออกกำลังกายเป็นเหมือนการฝากประจำสุขภาพวันละนิด เพื่อให้มีร่างกายและหัวใจที่แข็งแรงในบั้นปลายก็จริง แต่ขณะเดียวกัน การรับฝุ่น PM2.5 ก็ไม่ต่างอะไรกับการลงทุนระยะยาว ที่มีเงินปันผลเป็นมะเร็งปอด และหากปันผลเยอะหน่อยอาจมีโรคร้ายอื่นๆ ร่วมด้วย

ดังนั้น ตัวเลือกที่ดีที่สุด ย่อมเป็นการออกกำลังกายในร่ม ฝากประจำแบบไร้ความเสี่ยงโรคมะเร็ง ถึงตัวเลือกนี้จะไม่ถูกใจนักวิ่ง ที่ชอบออกไปเคลื่อนไหวร่างกายตามสวนสาธารณะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่เขาและเธอ ชำระเงินค่าร่วมงานไปแล้วเต็มจำนวน (บางงานมีค่าเดินทางและค่าที่พัก)

แน่นอนว่า การต้องเลือกระหว่าง ‘ทิ้งตั๋ว’ กับ ‘เอาตัวเองไปคลุกฝุ่น’ ไม่ใช่เรื่องง่าย นักวิ่งบางคนลงทุนฝึกซ้อมมาเป็นปีๆ เพื่อโอกาสที่มีเพียงปีละครั้ง ถ้าตัดสินใจไม่ไปอาจต้องรอใหม่ปีหน้าที่ก็ไม่รู้ว่า ตอนนั้นจะยังวิ่งไหวไหม และตอนนั้นอาจต้องเจอฝุ่นอยู่ดีหรือเปล่า

ทุกคนจึงต้องชั่งน้ำหนักในการตัดสินใจให้ดี โดยอาจมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็น

  1. อายุและโรคประจำตัว
  2. เป้าหมายในการวิ่งครั้งนั้น
  3. ข้อดีข้อเสีย ทั้งจากการตัดสินใจไปวิ่งและตัดสินใจทิ้งตั๋ว
  4. ปริมาณ PM 2.5 ในวันแข่ง

อันที่จริง การที่คนไทยยังอยากออกไปวิ่ง ทั้งที่จำนวนสวนสาธารณะมีไม่มาก แถมเวลาในแต่ละวัน เมื่อหักลบกับชั่วโมงทำงานก็ไม่ได้เหลือเฟือ คือสิ่งที่น่าชื่นชม หรือพูดอีกแง่ แม้จะมี ‘ข้อจำกัด’ มหาศาล คนไทยจำนวนมาก ยังคงเต็มใจจะออกจากบ้านไปดูแลร่างกายของตัวเอง

ฉะนั้นคงจะดีไม่น้อย หากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องสามารถช่วยให้ ‘ข้อจำกัด’ ที่แต่เดิมมีมากอยู่แล้ว ลดลงไปหนึ่งข้อ ข้อจำกัดที่มองไม่เห็น ซึ่งขัดขวางการดูแลตัวเองของประชาชนที่มีชื่อว่า PM2.5

 

อ้างอิง

facebook.com 

facebook.com 

thaipbs.or.th 

bdmswellness.com 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า