SHARE

คัดลอกแล้ว

Fast & Furious 2.0?: อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยมีโอกาสเติบโต “เร็วและแรง” เหมือนในอดีตหรือไม่? และ FDI คือตัวแปรช่วยไทยคว้าแชมป์ฐานผลิตรถ EV

ธนาคารเอชเอสบีซี ออกบทวิจัย ‘ประเทศไทยกับการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า’ โดยนายอาริส ดาคาเนย์ นักเศรษฐศาสตร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และนายไมเคิล ทินดัล หัวหน้านักวิเคราะห์หุ้นกลุ่มยานยนต์ ระบุว่า ประเทศไทยครองตำแหน่งแชมป์ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของภูมิภาคมาแล้วในช่วงทศวรรษ 1990 และตั้งคำถามว่ามาถึงยุครถยนต์พลังงานไฟฟ้าไทยจะคว้าแชมป์ได้อีกครั้งหรือไม่

สิ่งสำคัญขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญ คือ การดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติหรือ FDI ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา เม็ดเงินลงทุนลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในธุรกิจ EV ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีน ต่างจากในอดีตที่ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น

โดยไทยต้อง Fast & Furious หรือ เร็วและแรง ในการดึงดูดต่างชาติเข้าลงทุนในธุรกิจ EV มากขึ้น เพราะเม็ดเงินลงทุนต่างชาติยังไม่มากเท่ากับยุค 90 เมื่อปรับค่าเงินสมัยนั้นให้เทียบเท่ากับค่าเงินปัจจุบัน

คำถามสำคัญสำหรับประเทศไทย คือ ไทยจะสามารถประสบความสำเร็จในการลงทุนด้านการผลิตรถยนต์เพื่อส่งออกเหมือนกับช่วงทศวรรษ 1990 ได้อีกครั้งหรือไม่ เพราะครั้งนี้ไม่ใช่การผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่เป็นรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี)

สถานการณ์นี้ไม่ต่างจากภาพยนตร์แอ็คชันสุดมันส์เรื่อง Fast & Furious เนื่องจากประเทศไทยเคยประสบความสำเร็จในภาคแรกมาแล้ว และขณะนี้กำลังลุ้นว่าภาคต่อจะตื่นเต้นกว่าเดิมหรือไม่ แต่ในมุมมองของเอชเอสบีซี แม้ว่าหนังยังฉายไม่จบเรื่อง ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า ประเทศไทยควรเร่งสนับสนุนให้มีแนวทางเชิงรุกที่ Fast & Furious หรือ ‘เร็วและแรง’ มากกว่านี้ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคยานยนต์ไฟฟ้า

กุญแจสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) เนื่องจากเทคโนโลยีอีวียังมีความซับซ้อน แต่เมื่อเปรียบเทียบเงินทุนจากต่างชาติที่ไหลเข้ามาในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ กับเม็ดเงินในช่วงยุค 90 ซึ่งเป็นยุคที่ไทยได้ชื่อว่าเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย” เราพบว่า การเติบโตของการลงทุนยังไม่ “เร็วและแรง” เท่ากับยุคสมัยนั้น

และสมมุติว่าเงินทุน FDI ในอุตสาหกรรมยานยนต์ตั้งแต่ปี 2560 ทั้งหมด เป็นเงินลงทุนที่เกี่ยวข้องกับรถอีวี เราประเมินว่า ไทยยังต้องการเงินทุน FDI สำหรับรถอีวีเพิ่มขึ้น 4 เท่า คิดเป็นจำนวน 794 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือกว่า 28,100 ล้าน ต่อปี สำหรับช่วง 7 ปีข้างหน้า หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 166,900 ล้านบาท เพื่อให้เท่ากับจังหวะการลงทุนในช่วงยุค 90 ซึ่งเงินทุนส่วนใหญ่มาจากบริษัทข้ามชาติ (MNC) ของญี่ปุ่น

แต่เรื่องนี้มีความท้าทายตรงที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นคู่แข่งที่สำคัญของไทย มีปัจจัยที่ดึงดูดให้แบรนด์รถไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกต้องการเข้าไปลงทุน แม้ว่าคำมั่นสัญญาในการลงทุน FDI ที่ไทยได้รับสำหรับรถอีวีเจเนอเรชั่นใหม่ในอนาคตดูเหมือนจะเป็นที่น่าพอใจแล้ว แต่ไทยยังคงต้องพิสูจน์อีกว่า คำมั่นสัญญาดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงและมีการสร้างโรงงานผลิต

อย่างไรก็ตาม ข่าวดีก็คือการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้านั้น ไม่จำเป็นต้อง “แรง” เท่าเดิม เพื่อให้ไทยประสบความสำเร็จได้ตามเป้าหมาย 30@30 ซึ่งตั้งเป้าให้การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าคิดเป็นร้อยละ 30 ของการผลิตทั้งหมดภายในปี 2030 (2573) หรือเท่ากับจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งสิ้น 725,000 คัน

และแม้ว่ารถยนต์จะเปลี่ยนไปใช้ระบบไฟฟ้า แต่ส่วนประกอบพื้นฐานส่วนใหญ่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เช่น ประตูรถก็ยังคงเป็นประตูรถยนต์ และพวงมาลัยของรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังคงเป็นพวงมาลัยแบบเดิม ไทยจึงยังสามารถใช้ประโยชน์จากห่วงโซ่อุปทานสำหรับชิ้นส่วนรถยนต์ที่มีอยู่เดิมได้ แม้ว่าเมื่อก่อนจะเป็นการผลิตเพื่อรองรับการผลิตรถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในก็ตาม ซึ่งไทยน่าจะเป็นประเทศที่ต้องปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานน้อยที่สุดแล้วในกลุ่มอาเซียนสำหรับการผลิตรถอีวีในจำนวนเท่ากัน และด้วยคำมั่นสัญญาการลงทุนที่มีอยู่ในปัจจุบัน ภาครัฐมีความมั่นใจว่า ไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ไฟฟ้าได้ 359,000 คันภายในปี 2568

แต่ยังต้องจับตาดูว่า การไหลเข้าของเงินลงทุน FDI ที่เกี่ยวข้องกับรถอีวีในสมัยนี้จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของประเทศได้มากเท่ากับการลงทุน FDI ที่มาจากญี่ปุ่นเป็นหลักในช่วงยุค 90 หรือไม่ จากที่ไทยเคยมีญี่ปุ่นเป็นนายทุนหลักมาตลอดระยะเวลาสามทศวรรษ แต่ปัจจุบันจีนกลับกลายเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดในการผลิตรถอีวีของไทย เนื่องจากจีนต้องการขยายฐานการผลิตของอุตสาหกรรมอีวีที่กำลังเติบโตเข้ามาในอาเซียนแทน

เรื่องนี้คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะการส่งออกสุทธิของรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ มีสัดส่วนถึงเกือบหนึ่งในสิบของมูลค่าเศรษฐกิจไทย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า