เศรษฐกิจอินเดียฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และกำลังเติบโตเกือบ 7% ในปีงบประมาณปัจจุบันซึ่งจะสิ้นสุดในเดือน มี.ค. 2567 สวนทางกับเศรษกิจจีนที่การเติบโตอยู่ในทิศทางชะลอตัว
โดยการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่แข็งแกร่ง ตรงกันข้ามกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่กำลังเกิดขึ้น
การขยายตัวของ GDP ในไตรมาส 3 ตั้งแต่เดือน ก.ค. ถึง ก.ย. 2566 เติบโตถึง 7.6% และในไตรมาส 2 ช่วงเดือน เม.ย. ถึง มิ.ย. เติบโตสูงถึง 7.8% สะท้อนว่าสภาพเศรษฐกิจมีความเเข็งแกร่ง
ทำให้หน่วยงานและองค์กรวิจัยจำนวนมากปรับเพิ่มประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย โดยคาดว่า GDP จะเติบโตอยู่ในช่วง 6.7-7%
นอกจากนี้ ในแถลงการณ์นโยบายการเงินล่าสุดของธนาคารกลางอินเดีย (RBI) ได้มีการปรับคาดการณ์การเติบโตของ GDP เป็น 7% เพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งก่อนที่ 6.5% อีกด้วย
โดย S&P Global มองว่า จากแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจอินเดีย ทำให้อินเดียจะกลายเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก และมีเศรษฐกิจหลักเติบโตเร็วที่สุดในโลก
รวมถึงกลายมาเป็นแรงขับเคลื่อนหลักสำคัญในอีกสามปีข้างหน้า จากการมีอัตราการขยายตัวที่แซงหน้าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคไปแล้ว
แตกต่างจากประเทศจีน ที่เศรษฐกิจกำลังประสบกับภาวะชะลอตัว ทำให้อินเดียกลายเป็นหมุดหมายที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แม้จีนจะเป็นประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่กลับต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ รวมถึงความท้าทายในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังน่ากังวล
โดยการเติบโตของเศรษฐกิจจีนคาดว่าจะชะลอตัวลงเป็น 5.4% ในปี 2566 และ 4.6% ในปี 2567 และปรับสูงขึ้นเล็กน้อยที่ 4.8% ในปี 2568 ก่อนที่จะตกลงมาที่ 4.6% ในปี 2569 ส่วนใหญ่มาจากปัญหาตลาดอสังหาริมทรัพย์และอุปสงค์ที่อาจชะลอตัวลง
ส่วนประเทศไทย สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดตัวเลข GDP ไตรมาส 3 ออกมาโตเพียง 1.5% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะที่ 2% ขณะที่ในไตรมาส 1 GDP โต 2.7% และไตรมาส 2 โต 1.8% ต่ำกว่าที่คาดว่าจะโต 3%
ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2566 คาดว่าจะขยายตัว 2.5% ส่วนในปี 2567 จะขยายตัวในช่วง 2.7-3.7% ปัจจัยสนับสนุนจากการกลับมาขยายตัวของการส่งออก การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนกลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
นอกจากนี้ S&P Global คาดการณ์ว่า กลไกการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศฝั่งเอเชียแปซิฟิกจะเปลี่ยนจากในประเทศจีนไปยังประเทศในฝั่งเอเชียใต้ ประกอบด้วย อินเดีย อัฟกานิสถาน บังกลาเทศ ภูฏาน มัลดีฟส์ เนปา ปากีสถาน และศรีลังกา
รวมถึงประเทศในฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งประกอบไปด้วย มาเลเซีย เมียนมา กัมพูชา ลาว ไทย สิงคโปร์ เวียดนาม บรูไน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และติมอร์-เลสเต
ท่ามกลางความท้าทายและปัจจัยที่ยังกดดันในหลายด้าน ประเทศอินเดียกลับโดดเด่นออกมา และพร้อมที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอีกหลายปีข้างหน้า
ที่มา : www.plaid.com