ข้าวบาสมาติ เป็นอีกหนึ่งประเด็นความขัดแย้งตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานมาหลายปี เมื่อปี 2564 อินเดียเคยยื่นขอให้สหภาพยุโรป (อียู) ให้เครื่องหมายการค้าพิเศษในการใช้คำว่า ‘บาสมาติ’ ในอียูกับอินเดียแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นในฐานะผู้ส่งออกข้าวสายพันธุ์นี้ในปริมาณมากที่สุดในโลก
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ปากีสถานประเทศเพื่อนบ้านอินเดียที่มีสัดส่วนส่งออกข้าวบาสมาติประมาณ 35% ไม่พอใจ นอกจากนี้ยังทำการคัดค้านทันทีที่อินเดียได้รับอนุมัติ PGI หรือสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่ได้รับการคุ้มครองจากคณะกรรมาธิการยุโรป
โดยปากีสถานให้เหตุผลว่า บาสมาติของปากีสถานมีความเป็นอินทรีย์มากกว่าและมีคุณภาพดีกว่า จากนั้นปากีสถานได้ยื่นขอ GI ไปยังคณะกรรมาธิการยุโรปเช่นกัน
ข้าวบาสมาติถือเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของทั้งสองประเทศ การแย่งชิง GI จึงสำคัญมาก
ความที่ GI เป็นทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบหนึ่งที่ระบุถึงผลิตภัณฑ์ว่ามาจากสถานที่เฉพาะ แน่นอนว่าเรื่องของ บาสมาติข้าวเมล็ดยาวที่รับประทานคู่กับแกงเผ็ดและผัก รวมทั้งใช้ทำข้าวหมกบริยานี ที่เป็นอาหารหลักในหลายประเทศ จึงสำคัญมากในการได้ติดแท็ก GI ไม่เพียงแต่ปกป้องความถูกต้องของผลิตภัณฑ์ แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางการตลาดอีกด้วย การต่อสู้ระหว่างอินเดียกับปากีสถานเพื่อสถานะ GI ของบาสมาติจึงไม่ได้เป็นเพียงข้อพิพาททางการค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องของมรดกทางวัฒนธรรม อัตลักษณ์ เศรษฐกิจที่ทั้งสองประเทศแย่งชิงตลาดเป้าหมายการส่งออก
โดยตลาดผู้ซื้อหลักข้าวบาสมาติ อาทิ อิหร่าน อิรัก เยเมน ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และสหรัฐอเมริกา
ตอนนี้เป็นเรื่องน่าปวดหัวในการตรวจสอบพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ที่ปลูกข้าวบาสมาติของทั้งสองประเทศ จนต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้าน GI มาร่วมกันตรวจพิจารณา เพราะพื้นที่ปลูกข้าวที่ปากีสถานอ้างถึงมีความอ่อนไหวที่จะไปถูกตั้งคำถามในอินเดียทั้งเรื่องเอฟทีเอ และอำนาจอธิปไตย
ล่าสุดความขัดแย้งเรื่องข้าวบาสมาติรอบใหม่กลับมาอีกครั้ง หน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์การเกษตรชั้นนำของอินดีย กล่าวหาว่า ปากีสถานปลูกข้าวบาสมาติสายพันธุ์ลิขสิทธิ์ของอินเดียอย่างผิดกฎหมาย
พันธุ์ข้าวบาสบาติระดับเกรดพรีเมียมที่ได้รับการคุ้มครองของอินเดียที่ชื่อ Pusa-1121 และ 1509 Basmati มีการปลูกและวางตลาดขายในปากีสถานในชื่อ 1121 Kainat และ Kissan Basmati โดยเป็นสายพันธุ์ที่อินเดียระบุว่าพัฒนาให้ขนาดเมล็ดข้าวยาวเรียวขึ้น และต้านทานโรคได้มากขึ้น
อินเดียกล่าวว่าปากีสถานกำลังละเมิดลิขสิทธิ์เมล็ดพันธุ์พืชโดยต้นเหตุมาจากวิดีโอที่เผยแพร่ออนไลน์ที่มีการอ้างว่า ในวิดีโอแสดงให้เห็นว่าเกษตรกรชาวปากีสถานกำลังเพาะปลูกบาสมาติสายพันธุ์ทรงคุณค่าของอินเดีย
โฆษกจากสถาบันวิจัยการเกษตรแห่งอินเดีย (IARI) ระบุว่า นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ของเราทำงานอย่างหนักในการพัฒนาและปรับปรุงพันธุ์ข้าวบาสมาติเพื่อเพิ่มผลผลิต คุณภาพ และความต้านทานต่อศัตรูพืชและโรค ทำให้ข้าวบาสมาติจากอินเดียมีราคาสูงในตลาดต่างประเทศ แต่การที่ปากีสถานรุกเข้าสู่ตลาดในราคาที่ต่ำกว่า อาจส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของอินเดียในฐานะซัพพลายเออร์บาสมาติระดับพรีเมียมในตลาดต่างประเทศ
อินเดียและปากีสถานแข่งขันกันอย่างดุเดือดในการส่งออกข้าวบาสมาติโดยเฉพาะในสายพันธุ์ที่รู้จักกันในชื่อ Scented Pearl (ไข่มุกหอม) ที่มีกลิ่นหอมเฉพาะตัวและสายพันธุ์นี้ก็ทำรายได้ให้ทั้งสองประเทศอย่างมาก
โดยอินเดียครองส่วนแบ่งตลาดโลก 65% และข้าวบาสมาติถือเป็นสินค้าเกษตรกรตัวขับเคลื่อนรายได้หลักของอินเดีย โดยปี 2566 มีรายได้สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นเกือบ 21% จากปีก่อนหน้าเนื่องจากขายข้าวได้ราคาสูงขึ้น
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นปีมานี้ การส่งออกข้าวจากอินเดียชะลอตัวลง และอาจลดลงต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ซื้อชะลอการซื้อ อีกส่วนมาจากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้นจากปัญหาการขนส่งในพื้นที่ทะเลแดงที่ยังมีความขัดแย้งยืดเยื้อ รวมทั้งฝนน้อยทำให้ผลผลิตข้าวของอินเดียลดลง ดังนั้นแม้ปีที่แล้วอินเดียจะส่งออกข้าวบาสมาติได้ที่ 4.9 ล้านตัน แต่คาดว่าผลผลิตปีนี้จะลดลงทั้งจากปัจจัยต้นทุนและผลผลิต
ในทางตรงข้ามการส่งออกข้าวของปากีสถานอาจเพิ่มขึ้นเป็น 5.0 ล้านตัน จาก 3.7 ล้านตันในปีที่แล้ว
โดยตอนนี้ปากีสถานทำการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกข้าวบาสมาติมากขึ้น จึงมีแนวโน้มว่าจะส่งผลให้ผลผลิตพุ่งสูงขึ้นและแย่งชิงส่วนแบ่งทั่วโลกของอินเดียมาได้มากขึ้น
มีการวิเคราะห์ว่า สถานการณ์นี้ยิ่งทำให้อินเดียเร่งเครื่องปกป้องพันธุ์ข้าวบาสมาติมากยิ่งขึ้น
อดีตประธานสมาคมผู้ส่งออกข้าวของอินเดีย ถึงกับออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์อินเดียดำเนินการทางกฎหมายอย่างเข้มงวดกับผู้ปลูกข้าวของปากีสถาน
ส่วนภาคเอกชนส่งออกข้าวของอินเดียพยายามกดดันให้รัฐบาลอินเดียแจ้งความกังวลเรื่องการละเมิดพันธุ์ข้าวบาสมาติของอินเดียไปยังองค์การการค้าโลก (WTO) เพื่อบังคับใช้กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญาและป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์
ฟากปากีสถานก็ออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้เรื่องนี้เช่นกันว่าไม่มีส่วนไหนที่ทำผิดกติการการค้า
ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าโภคภัณฑ์ข้าวของปากีสถาน บอกว่า ปากีสถานไม่ได้สร้างความตึงเครียดใดๆ สิ่งที่เราปลูกคือ บาสมาติสายพันธุ์ที่เทียบเท่ากับข้าวสายพันธุ์อื่น แต่แค่ไม่เหมือนกัน และข้าวพันธุ์นี้ก็ได้รับอนุมัติให้ขายในยุโรป
“มันเป็นความหลากหลายที่ได้รับการอัพเกรด แม้ว่าจะมาจากพ่อแม่คนเดียวกันก็ตาม ที่ผ่านมาปากีสถานโต้แย้งกรณีอินเดียขอสิทธิพิเศษในการใช้คำว่าบาสมาติ แต่บาสมาติมีมรดกร่วมกัน เนื่องจากสายพันธุ์นี้ได้รับการปลูกมายาวนานตั้งแต่อดีต ดังนั้นหากเรื่องนี้อินเดียมีปัญหาก็สามารถยื่นประท้วง WTO ได้” ผู้เชี่ยวชาญด้านสินค้าข้าวของปากีสถานระบุ
สถานการณ์นี้ยังไม่มีข้อสรุป แต่บอกได้ว่าประเด็นที่สองประเทศมีข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์เรื่องสายพันธุ์ข้าวบาสมาติจะยังไม่จบลงง่ายๆ อินเดียบอกว่าตัวเองมีข้าวสายพันธุ์บาสมาติ 34 สายพันธุ์ เทียบกับปากีสถานที่มี 24 สายพันธุ์
ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์แล้วเป็นเวลาหลายศตวรรษที่ข้าวบาสมาติเติบโตอยู่บนที่ราบลุ่มอินโด-คงคา หรือ แม่น้ำสินธุ-คงคา (Indo-Gangetic plain) ของอนุทวีปอินเดีย ซึ่งปัจจุบันถูกแบ่งแยกระหว่างอินเดียและปากีสถาน
สัญลักษณ์ของมรดกร่วมกันอาจจะพิสูจน์ได้ว่าครั้งหนึ่ง ทั้งสองประเทศเคยออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านและคุ้มครองพันธุ์ข้าวบาสมาติในช่วงปลายทศวรรษ 90 เมื่อมีแบรนด์อเมริกันพยายามที่จะจดทะเบียนสิทธิบัตรสำหรับพันธุ์ข้าวบาสมาติที่พัฒนาและปลูกในเท็กซัส
ตอนนั้นรัฐบาลอินเดีย และปากีสถานได้คัดค้านความเคลื่อนไหวดังกล่าวและชนะคดีในที่สุด
ส่วนวันนี้ประเด็นการต่อสู้แย่งชิงการเป็นผู้นำด้านข้าวบาสมาติระหว่างเพื่อนบ้านสองประเทศยังตึงเครียดกันไปอย่างนี้อีกยาวนาน