อัปเดตสถานการณ์เศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลก ภายใต้งานสัมมนา abrdn x Liberator ‘2024 Global Economic Outlook – After the hikes’ ที่จัดขึ้นโดยบลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) ร่วมกับ บล.ลิเบอเรเตอร์
‘พงค์ธาริน ทรัพยานนท์’ Head of Fixed Income and Asset Allocation บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า แนวโน้มระยะ 3-6 เดือนข้างหน้า ยังคงมีมุมมองที่เงินเฟ้ออยู่ในทิศทางขาลง ส่วนดอกเบี้ยคาดว่าน่าจะเริ่มลดลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้
โดยมองว่าในปี 2567 ดอกเบี้ยจะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับ 3 – 3.25% และน่าจะถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ระดับที่ต่ำกว่า 3% ในปี 2568
กลุ่มอเบอร์ดีนฯ ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุน โดยแนะนำเพิ่มสัดส่วนตราสารหนี้ในพอร์ตเพราะปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยมีความน่าสนใจอย่างมาก และค่อนข้างให้ความสนใจกับตราสารหนี้ในฝั่งตลาดเกิดใหม่
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้น หากมุมมองดอกเบี้ยและเงินเฟ้อยังไม่เปลี่ยนแปลงรวมถึงปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงแบบซอฟต์แลนดิ้ง ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงก็ยังน่าลงทุน โดยเน้นไปที่ตลาดหุ้นสหรัฐ ในกลุ่มหุ้นขนาดกลางและเล็กเนื่องจากยังเห็นถึงการเติบโตของบริษัทอย่างต่อเนื่อง
ด้าน ‘ดรุณรัตน์ ภิยโภดิลกชัย’ หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทย คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะโตได้ที่ 3% และคาดว่าในปีนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งการปรับลดจะอยู่กับเศรษฐกิจในประเทศ ส่วนแรงขับเคลื่อนน่าจะได้มาจากภาคการท่องเที่ยว
โดยคาดว่าในปี 67 นักท่องเที่ยวจะแตะระดับ 33-35 ล้านคน หรือประมาณ 85% จากช่วงก่อนโควิด โดยนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้นเป็น 5.5 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงจากนโยบายภาครัฐที่ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ ส่วนโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต มองว่าหลายๆ คนน่าจะดึงออกจากปัจจัยหลักแล้วเพราะมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง
ซึ่งหากโครงการเงินดิจิทัลวอลเล็ต เกิดขึ้นจริงก็มองว่าจะเข้ามาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เนื่องจากวงเงินที่ใช้ค่อนข้างสูงถึง 5 แสนล้าน แต่หากโครงการฯ ไม่เกิดขึ้นก็ยังเชื่อว่ารัฐบาลจะมีนโยบายอื่นๆ ออกมากระตุ้นแทนดิจิทัลวอลเล็ตที่ไม่เกิดขึ้น
ประเมินดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีที่ 1,406-1,560 จุด แนะนำการลงทุนในกลุ่มที่สอดคล้องกับตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เช่น กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจสุขภาพจากการเข้าสู่สังคมสูงวัย
รวมถึงกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการส่งออกและกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการกระจายฐานการผลิตของบริษัททั่วโลก อาทิ CENTEL , MOSHI, SISB และ MEGA
ส่วน ‘วิจิตร อารยะพิศิษฐ’ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า ปีนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีดาวน์ไซน์ แต่ก็ยังมีปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวการและการบริโภคในประเทศฟื้นกลับมา และยังมีมาตรการ Easy E-receipt และรอติดตามโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งก็ตลาดไม่ได้คาดหวังมากเท่าไรนัก
ขณะที่การส่งออกของไทยเติบโตสูงเมื่อเทียบกับประเทศข้างเคียง รวมทั้งการลงทุนที่มีมาตรการสนับสนุน โดยเฉพาะมาตรการรถยนต์ไฟฟ้า EV ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งแรงที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
สำหรับดัชนีหุ้นไทยคาดว่าในไตรมาส 1/2567 จะแกว่งตัวในกรอบ 1,350-1,420 จุด และสิ้นปีมีโอกาสดีดขึ้นไปแตะ 1,500 จุด. กลยุทธ์ลงทุนแนะนำหุ้นได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจในประเทศในหุ้นขนาดกลาง – เล็ก อาทิ CPALL ,WHA ,SPA , JMT, MASTER และ COCOCO