SHARE

คัดลอกแล้ว

มอง ‘สิงคโปร์–มาเลเซีย’ ผ่านบทเรียนความขัดแย้งในอดีต สู่การสร้างอนาคตร่วมกันในแหลมมลายู

“สังคมที่เข้มแข็งต้องเป็นเหมือน ‘ผ้าบาติก’ ที่ถักทอจากเส้นใยหลากสีสันจนเป็นผ้าผืนเดียวกันอย่างเหนียวแน่น ไม่ใช่แค่ ‘ผ้าปะต่อ’ ที่พร้อมจะขาดวิ่นเมื่อเจอลมแรง”

คำเปรียบเทียบของ ประธานาธิบดีทาร์มัน ชันมูการัตนัม แห่งสิงคโปร์ ซึ่งใช้ ‘ผ้าบาติก’ สัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมร่วมของแหลมมลายูที่ครั้งหนึ่งเคยรวมมาเลเซียและสิงคโปร์ไว้ด้วยกัน ถือเป็นภาพสะท้อนความหลากหลายที่สามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างงดงาม 

แม้ทั้งสองประเทศจะเคยมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน และผ่านช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งรุนแรงร่วมกัน แต่พวกเขาก็สามารถก้าวข้ามความเจ็บปวดในอดีต หันมาเดินหน้าฟื้นฟูความสัมพันธ์ ผ่านความร่วมมือในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเดินทาง การจัดการทรัพยากรน้ำ หรือความมั่นคงในภูมิภาค 

ความพยายามเหล่านี้เปรียบได้กับการ ‘ถักทอ’ ความสัมพันธ์อย่างอดทนและตั้งใจ ท่ามกลางความท้าทายในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ภาพนี้ไม่เพียงเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ หากยังสะท้อนให้เห็นว่า ความเป็นหนึ่งเดียวสามารถเกิดขึ้นได้จริง แม้บนรากฐานของความแตกต่าง ถ้าได้รับการเยียวยา ฟื้นฟู และปลูกฝังด้วยความเข้าใจ

แต่น่าเสียดายที่วันนี้ หลายพื้นที่ทั่วโลกกลับกำลังเผชิญกับ ‘พายุแห่งความแตกแยก’ ที่พัดกระหน่ำคุกคามสังคมให้ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ไม่ต่างจากผืนผ้าเปราะบางที่ไม่ได้ถูกถักทออย่างมั่นคง

ท่ามกลางกระแสแห่งความเปราะบางนี้ การประชุมนานาชาติว่าด้วยความสามัคคีในสังคม ประจำปี 2568 (International Conference on Cohesive Societies: ICCS 2025) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 24–26 มิถุนายน ณ ศูนย์ประชุมราฟเฟิลส์ ซิตี้ ประเทศสิงคโปร์ จึงกลายเป็นเวทีสำคัญ 

ที่นั่น ผู้นำอย่างประธานาธิบดีทาร์มัน และสุลต่านนัซริน มูอิดซัดดิน ชาห์ แห่งรัฐเปรัก ประเทศมาเลเซีย ได้ร่วมกันถอดบทเรียนจากอดีต ค้นหาทางออกในปัจจุบัน และปูทางสู่อนาคตของสังคมที่ยืดหยุ่นและเป็นปึกแผ่นอย่างแท้จริง

ในบทความนี้ TODAY จะพาไปเจาะลึกข้อสังเกตสำคัญจากเวที ICCS 2025 พร้อมชวนสำรวจว่า ผู้นำระดับภูมิภาคเหล่านี้ ชี้ทางออกอย่างไรในช่วงเวลาที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

[‘ไม่ใช่แค่ผ้าปะต่อ’ ความสามัคคีต้องถักทออย่างกระตือรือร้น]

ประธานาธิบดีทาร์มัน ชันมูการัตนัม แห่งสิงคโปร์ ให้ข้อคิดสำคัญว่า ความสามัคคีในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ แต่ต้องได้รับการ ‘ถักทอ’ อย่างตั้งใจและมีจุดหมายร่วมกัน

จากผลสำรวจ Edelman Trust Barometer พบว่า คนส่วนใหญ่ทั่วโลก รู้สึกว่าสังคมของตัวเองแตกแยกมากขึ้น และมีแค่ 1 ใน 5 เท่านั้นที่อยากจะอยู่ใกล้กับคนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน

โดยสาเหตุที่ทำให้เกิดความแตกแยกนี้มีหลายอย่าง เช่น การเพิ่มขึ้นของกลุ่มการเมืองฝ่ายขวาที่ไม่ยอมรับความเห็นต่าง ช่องว่างระหว่างคนที่ได้รับการศึกษาสูงกับคนที่ไม่ได้รับการศึกษา รวมถึงความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่า “ฉันกำลังแพ้ ในขณะที่คนอื่นชนะ”

นอกจากนี้ การล้มเหลวในการช่วยให้ผู้อพยพรวมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมก็ยิ่งทำให้รอยร้าวนี้ลึกลงไปอีก อย่างที่เห็นได้ชัดจากกรณีที่เกิดขึ้นในยุโรป

อีกปัจจัยสำคัญคือ โลกออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ที่ถูกออกแบบมาให้ดึงคนไปอยู่ใน ‘ห้องเสียงสะท้อน’ ที่ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ ปิดกั้นการรับฟังความเห็นใหม่ๆ และทำให้เกิดความแตกแยกทางความคิดมากขึ้น

สิ่งที่ตามมาคือ ‘ชนเผ่าออนไลน์’ (online tribalism) หรือกลุ่มคนที่ยึดติดกับความคิดของตัวเองมากเกินไป จนยากที่จะเข้าใจหรือเห็นใจคนอื่น ทำให้ข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนแพร่กระจายง่ายขึ้น และยังส่งผลให้หลายคนในสังคมพัฒนาเกิดความโดดเดี่ยวทางสังคมมากขึ้น

เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ประธานาธิบดีทาร์มัน ได้แนะนำแนวทางสำคัญ 4 ประการ ได้แก่

  1. การศึกษา – ด้วยการนำเด็กจากหลากหลายพื้นเพมาเรียนและทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อสร้างความเข้าใจและความผูกพันตั้งแต่เด็ก รวมถึงเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้ทั่วถึง 
  2. การออกแบบเมือง – ตัวอย่างเช่น สิงคโปร์มีโครงการที่อยู่อาศัยสาธารณะที่ให้คนหลากหลายเชื้อชาติและฐานะอยู่ร่วมกัน มากกว่าร้อยละ 75 ของประชากรอาศัยในโครงการเหล่านี้ ซึ่งช่วยให้คนมีโอกาสพบปะและรู้จักกันในชีวิตประจำวัน 
  3. การควบคุมสื่อและ AI – รัฐบาล ภาคประชาสังคม และบริษัทเทคโนโลยี ต้องร่วมมือกันกำกับดูแลเนื้อหาบนแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น กฎหมาย Digital Services Act ของสหภาพยุโรป ที่บังคับให้ลบเนื้อหาที่สร้างความเกลียดชังและลดการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ 
  4. การปลูกฝังวัฒนธรรมแห่งความเคารพ – ผ่านกิจกรรมและการกระทำในชีวิตประจำวัน เช่น โครงการสอนศาสนาแบบข้ามวัฒนธรรมในอินโดนีเซีย ที่ช่วยให้เด็กๆ เรียนรู้ที่จะเคารพและยอมรับความแตกต่าง

[‘การนำทางภายใต้ความไม่แน่นอน’ คือศิลปะการเดินเรือในทะเลที่มีคลื่นลมแรง] 

“ความไม่แน่นอนไม่ใช่แค่พายุชั่วคราว มันคือสภาพแวดล้อมถาวรของยุคเรา และจะอยู่กับเรานานอีกหลายปี” 

สุลต่านนัซริน มูอิดซัดดิน ชาห์ แห่งรัฐเปรัก มาเลเซีย ใช้วลีนี้เตือนใจทุกคนว่า โลกตอนนี้ไม่ใช่แค่เผชิญวิกฤตใดวิกฤตหนึ่ง แต่กำลังอยู่ท่ามกลาง ‘พายุสมบูรณ์แบบ’ ที่เกิดจากหลายปัจจัยมาบรรจบกัน ทั้งโรคระบาด ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ ปัญหาสิ่งแวดล้อม และวิกฤตความไว้วางใจซึ่งกันและกัน

ซึ่งสอดคล้องกับรายงานการพัฒนามนุษย์ของสหประชาชาติปี 2022 ที่อธิบายสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเป็น ‘ความไม่แน่นอนที่ซับซ้อน’ ซึ่งเราต้องเรียนรู้จะอยู่กับมัน 

สุลต่านนัซริน ชาห์ ได้ชี้ให้เห็น 3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และเป็นอุปสรรคต่อความสามัคคีในสังคม

โลกดิจิทัลและการเชื่อมต่อออนไลน์ แม้จะทำให้ผู้คนกว่า 5 พันล้านคนทั่วโลกเข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น แต่ก็กลายเป็นสนามรบที่อัลกอริทึมผลักดันให้คนอยู่ใน ‘ห้องเสียงสะท้อน’ (echo chambers) ที่ตอกย้ำความเชื่อเดิมๆ จนเกิดความเกลียดชัง ข่าวปลอม และทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น เหมือนเหตุการณ์จลาจลทางเชื้อชาติในสหราชอาณาจักรที่สะท้อนว่า โลกออนไลน์กำลังส่งผลกระทบต่อความสามัคคีในสังคม

ปัจจัยที่สองคือ การย้ายถิ่นฐานระหว่างประเทศ ปัจจุบันมีผู้ย้ายถิ่นทั่วโลกกว่า 304 ล้านคน ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงพันล้านคนในปี 2050 สิ่งนี้สร้างความท้าทายให้กับประเทศผู้รับ และทำให้เกิดแนวคิดแบ่งแยกแบบ “พวกเรา vs พวกเขา” (Us versus Them)

นอกจากนี้ สุลต่านนัซรินยังชี้ด้วยว่า มาเลเซียใช้หลักการ ‘รุกุน เนการา’ (Rukun Negara) ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของประเทศมาเลเซีย 5 ประการ ได้แก่ ความเชื่อต่อพระเจ้า, ความจงรักภักดีต่อชาติ, หลักนิติธรรม, ความเป็นประชาธิปไตย และความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เพื่อรักษาความสามัคคีในชาติ 

ทั้งยังแสดงความภูมิใจที่ทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์มีคะแนนสูงในรายงาน Southeast Asian Social Cohesion Radar 2022 ซึ่งชี้ให้เห็นว่า ‘ความสัมพันธ์ทางสังคม’ คือกุญแจสำคัญของความสามัคคี

ปัจจัยที่สามคือ ผลกระทบทางเศรษฐกิจของโลกาภิวัตน์ ที่แม้จะสร้างความเจริญ แต่กลับเพิ่มความเหลื่อมล้ำให้รุนแรงขึ้น หลังโรคระบาด กลุ่มทักษะต่ำและคนรายได้น้อยกลายเป็น ‘ผู้แพ้’ ขณะที่เกือบสองในสามของความมั่งคั่งใหม่ตกอยู่กับ 1% ที่รวยที่สุด ความเหลื่อมล้ำนี้กลายเป็นเชื้อเพลิงจุดชนวนการเมืองชาตินิยมและประชานิยมที่คุกคามความมั่นคงทางสังคม

เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนเหล่านี้ สุลต่านนัซริน ชาห์ เสนอ 4 หลักการชี้นำสำคัญ ได้แก่

  1. สร้างความไว้วางใจใหม่ ในสถาบันและผู้นำด้วยความโปร่งใส 
  2. ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม 
  3. โอบรับพหุวัฒนธรรมนิยม เคารพความแตกต่างและเชื่อมั่นในมนุษยธรรมร่วมกัน 
  4. จินตนาการอย่างกล้าหาญ เพื่อสร้างสังคมที่ยืดหยุ่น ผ่านการศึกษาที่ส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ และการออกแบบเมืองที่ครอบคลุม

สุลต่านนัซรินสรุปว่า “คุณไม่สามารถเปลี่ยนลมได้ แต่คุณสามารถปรับใบเรือได้” ซึ่งสะท้อนความสำคัญของการปรับตัวและความร่วมมือในการเผชิญหน้ากับความไม่แน่นอน เพื่อสร้างอนาคตที่ปลอดภัยและเป็นธรรมมากขึ้น

[เดินหน้าฝ่าความท้าทายด้วย ‘การถักทอ’ และ ‘การนำทาง’]

สิ่งที่เกิดขึ้นใน ICCS 2025 ไม่ได้เป็นแค่คำพูดบนเวที แต่เป็นการจุดประกายให้เห็นว่า การสร้างสังคมเข้มแข็งต้องเริ่มจากตัวเราและชุมชนรอบข้างด้วย

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดใจฟังกันจริงๆ การสนทนาอย่างสร้างสรรค์ หรือการช่วยกันแก้ปัญหาในพื้นที่ของเราเอง แนวคิดเรื่อง ‘การถักทอ’ และ ‘การนำทาง’ ที่ผู้นำทั้งสองกล่าวถึง จึงไม่ใช่แค่หลักการระดับชาติ แต่เป็นภูมิปัญญาที่ทุกคนสามารถใช้ได้ในชีวิตจริง เพื่อช่วยสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นขึ้น และเตรียมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะมาถึง

ในยุคที่ความไม่แน่นอนยังพัดแรง และความแตกแยกเติบโตในหลายมิติ ถ้อยคำที่ถูกเปล่งออกมาบนเวที ICCS 2025 จึงเป็นมากกว่าคำพูดของเหล่าผู้นำ หากแต่คือการเชื้อเชิญให้เราทุกคนมาร่วมกันเข้าใจโครงสร้างสังคมยุคใหม่อย่างลึกซึ้ง

ความสามัคคีแท้จริงไม่ได้เกิดจากการเพิกเฉยต่อความต่าง แต่เกิดจากความกล้าที่จะ ‘ถักทอ’ เป้าหมายและชีวิตของเราทุกคนเข้าด้วยกัน พร้อมกับมี ‘เข็มทิศ’ ที่ชัดเจน เพื่อ ‘นำทาง’ ฝ่าฟันทุกพายุที่รออยู่ในอนาคต

เพราะในที่สุด สังคมที่แข็งแกร่งไม่ใช่สังคมที่ไร้พายุ แต่คือสังคมที่รู้จักปรับใบเรือแล่นผ่านพายุเหล่านั้นไปได้อย่างมั่นคง เพื่อไปสู่ปลายทางแห่งความกลมเกลียวและยั่งยืน

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า