SHARE

คัดลอกแล้ว

หากพูดถึงการเคลื่อนไหวเรื่อง “สิทธิสตรี” คงมีหลากหลายประเด็นที่เรานึกถึง ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาความรุนแรงทางเพศ ความรุนแรงในครอบครัว หรือกระทั่งเสรีภาพในเรือนร่าง ทว่าอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือ “ความเท่าเทียมทางเพศในสถานที่ทำงาน”

แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้มีการพูดถึงเรื่อง ความเท่าเทียมทางเพศในสถานที่ทำงาน อย่างชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่ประเด็นดังกล่าว ก็ถือเป็นประเด็นที่นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิสตรีทั่วโลกให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะถึงแม้เส้นแบ่งของการทำงานระหว่างผู้หญิงและผู้ชายในปัจจุบันจะเริ่มเลือนลาง แต่ตัวเลข ‘ผู้หญิง’ ที่ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำอย่างแท้จริงกลับไม่เติบโตขึ้นเท่าที่ควร 

ในปี 2020 ที่จะถึงนี้ ประเทศไทยเป็นตัวแทนในการจัดงานประชุมครั้งใหญ่อย่าง “Global Summit of Women 2020″ เพื่อตอกย้ำศักยภาพของเหล่าสตรีในการเป็นผู้นำด้านธุรกิจ ข่าวเวิร์คพอยท์ จึงไม่พลาดที่จะพาคุณไปอัปเดตสถานการณ์ความเคลื่อนไหวของสตรีทั่วโลก พร้อมสำรวจมุมมองเรื่องความเท่าเทียมทางเพศกับ “Irene Natividad” ประธานการประชุมสุดยอดผู้นำหญิงระดับโลก  

“Irene Natividad” ประธานการประชุมสุดยอดผู้นำหญิงระดับโลก

ภาพรวมของสถานการณ์ความเท่าเทียมทางเพศทั่วโลกตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง 

จริงๆ แล้วตอนนี้มีผู้หญิงจากพรรคฝ่ายประชาธิปไตย หันมาลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งมีด้วยกัน 3 คน จากที่ก่อนหน้านี้มีเพียง ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) เท่านั้น ในปีค.ศ. 2016 แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้หญิงที่ทำงานใน รัฐสภาของสหรัฐฯ (United States Congress) มีราวๆ 20% จากจำนวนสมาชิกที่นั่งเก้าอี้ทั้งหมด 535 คน นั่นจึงเป็นตัวเลขที่ไม่น่ายินดีนัก

มีอีกหลายประเทศบนโลกนี้ที่มีจำนวนผู้หญิงที่เป็นสมาชิกรัฐสภามากกว่าสหรัฐอเมริกา เช่น ประเทศรวันดา (Rwanda) ที่มีสมาชิกรัฐสภาเป็นเพศหญิงสูงถึง 63% และยังมีอีกหลายประเทศในยุโรปที่มีอัตราส่วนของผู้หญิงในรัฐสภาสูงกว่าในสหรัฐอเมริกาเช่นเดียวกัน ดังนั้น ตัวเลขนี้ยังไม่น่าพึงพอใจสำหรับฉัน แต่อย่างไรก็ตาม ฉันยังภูมิใจกับความจริงที่ว่ามีสุดยอดผู้หญิงลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ถึง 3 คนด้วยกัน

มองเห็นศักยภาพอะไรของประเทศไทยที่ตัวแทนจัดงานประชุม Global Summit of Women 2020 

ฉันอยากให้ผู้หญิงได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถก้าวสู่เส้นทางการเป็นผู้นำได้ เพราะว่าตอนนี้ ผู้หญิงเราไม่ได้รับบทบาทในด้านความเป็นผู้นำเท่าที่ควร มีผู้หญิงหลายคนในสถานที่ทำงานก็จริง แต่ไม่มีใครที่ได้อยู่ในระดับสูงๆ หรือเป็นผู้นำในธุรกิจเลย ขณะที่ประเทศไทย มีผู้หญิงที่เก่งด้านธุรกิจและอยู่ในระดับท็อปเป็นจำนวนมาก เช่น ธนาคาร, บริษัท IBM ประเทศไทย รวมไปถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อย่าง Icon Siam ด้วย แน่นอนว่าฉันสามารถเอ่ยชื่อพวกเธอได้ แต่มีอีกหลายคนในหลายประเทศ ที่ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมีผู้หญิงที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจจำนวนมาก ฉันจึงอยากจะเปลี่ยนการรับรู้ในเรื่องนี้ นั่นคือศักยภาพของไทยที่ฉันอยากจะแสดงให้พวกเขาเห็น

ประสบการณ์และสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเป็นผู้นำที่ขับเคลื่อนด้านสิทธิสตรี

ในงานประชุม Global Summit of Women 2019 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งจัดที่เมือง บาเซล ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ (Basel, Switzerland) มีช่วงหนึ่งของการประชุมที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ในด้านเทคโนโลยีได้เแสดงผลงาน 

มีผู้หญิงคนหนึ่งนำเสนอธุรกิจเกี่ยวกับจักรยานแบบ B2B ลูกค้าของเธอคือ บริษัทที่มีความต้องการในการซื้อจักรยานให้พนักงานของตัวเอง เมื่อได้ฟังโมเดลธุรกิจดังกล่าว พิธีกรในช่วงบรรยายซึ่งเป็นรองประธานของ McDonalds ก็ติดต่อเจ้าของธุรกิจจักรยานคนนั้น และแนะนำให้รู้จักกับประธานของบริษัท McDonalds Switzerland ทันที หลังจากนั้น พวกเขาทั้ง 3 คนก็ตกลงทำธุรกิจร่วมกัน ซึ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก 

มีการตกลงทำธุรกิจร่วมกันเกิดขึ้นอีกมากมายภายในงาน ฉันชอบมาก เพราะฉันอยากให้ผู้หญิงมีอำนาจ ซึ่งอำนาจนั้นหมายถึงเงิน หากปราศจากเงิน ผู้หญิงก็ไม่อาจมีอำนาจได้ ดังนั้น ฉันอยากกระตุ้นให้ผู้หญิงเราก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำด้านธุรกิจด้วยตัวเองมากขึ้น มิฉะนั้น เราจะทำได้พียงอ้อนวอนผู้ชายว่า ‘ช่วยฉันหน่อย ฉันเลื่อนตำแหน่งให้ฉันได้ไปเป็นผู้บริหารหน่อยเถอะ’

คุณจะตอบคำถามแบบว่า “แล้วทำไมผู้หญิงต้องเอาชนะผู้ชายให้ได้ในเรื่องนี้ล่ะ” อย่างไร 

บางทีผู้หญิงเหล่านั้นอาจยังไม่รู้ตัว ว่าพวกเธอไม่ได้รับโอกาสในการเป็นผู้นำ ในสหรัฐอเมริกา มีบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหมดประมาณ 500 บริษัท แต่มี CEO ที่เป็นผู้หญิงเพียง 22 คนเท่านั้น คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็แค่ประมาณ 5% เอง หากลองมองดูผู้นำของแต่ละรัฐในประเทศ ก็มีเพียงประมาณ 9 คนที่เป็นผู้หญิง จากสมาชิกทั้งหมด 991 คน นั่นไม่ใช่จำนวนที่เยอะเลย ไม่เว้นแม้แต่รายชื่อผู้บริหารในบริษัทของสหรัฐฯ ซึ่งมีผู้หญิงเพียงแค่ 20 % พวกเธอดูไม่ได้มีอำนาจมากมายอะไรเลย แล้วพวกเธอเหล่านั้นก็ไม่ได้มีหน้าที่ดูแลเรื่องผลประโยชน์หรืองบประมาณของบริษัทเลย ทว่าทำงานในฝ่ายบริการ เป็น Marketing หรือ PR เสียมากกว่า ดังนั้น มันถึงเวลาแล้วที่ผู้หญิงจะแสดงพลังที่พวกเธอมี มันไม่ใช่การผลักไสผู้ชายออกไป ทว่าพวกเธอต้องการที่จะทำงานเคียงข้างผู้ชายอย่างเท่าเทียมกันต่างหาก

จากทุกสถิติที่ฉันศึกษาบ่งบอกว่า GDP ของแต่ละประเทศสูงขึ้นได้ เมื่อมีผู้หญิงทำงานอยู่ในองค์กร เรียกว่า ‘The Third Billion’ ซึ่งถือเป็น Case Study ที่บ่งบอกถึงศักยภาพในการเติบโตเมื่อมีผู้หญิงร่วมทำงานอยู่ในองค์กร และยังมีการศึกษาอีกว่า เมื่อในองค์กรมีผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งของบอร์ดบริหาร องค์กรนั้นจะมีผลกำไรที่เติบโตขึ้น เช่น McKenzie, Credit Switch หรือ Goldman Sachs ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มีรายงานของกรณีศึกษานี้กว่า 70 เคสให้คุณอ่านเลย 

แต่บางทีงานวิจัย การศึกษาเรื่องนี้พวกมันยังไม่เพียงพอในการขับเคลื่อนให้ผู้ชายซึ่งเป็นผู้นำในบริษัท ให้พวกเขาเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ทำงานในตำแหน่งสูงขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากจะบอกพวกเขา ในทุกงานประชุม คือ มันได้เกี่ยวกับเรื่องของความเสมอภาคและความเท่าเทียม มันเกี่ยวของกับการทำให้บริษัทของพวกคุณประสบความสำเร็จมากกว่าเดิม ฉะนั้นให้โอกาสผู้หญิงสักหน่อยเถอะ คุณไม่มีอะไรจะเสียอยู่แล้วนี่ ใช่ไหมล่ะ ?

คุณจินตนาการภาพของโลกที่ผู้หญิงกับผู้ชายเท่าเทียมกันไว้อย่างไร

คุณรู้ไหมว่าประเทศ รวันดา ที่มีผู้หญิงเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภา กฎหมายฉบับแรกที่พวกเธอเสนอผ่านคือ การให้ผู้หญิงในประเทศมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของที่ดินที่พวกเธอทำงานอยู่ ซึ่งก่อนหน้านั้นพวกเธอทำไม่ได้ และตอนนี้ถนนในเมืองคิกาลี (Kigali) เมืองหลวงของประเทศรวันดาสะอาดมาก 

การมีอัตราส่วนที่ผู้หญิงเป็นเจ้าของธุรกิจสูงถึง 40.4% ประเทศพวกเขาได้รับความสงบสุข ประชาชนต่างก็มีงานทำ ทั้งการทำฟาร์ม การประกอบธุรกิจเล็กๆ เชื่อไหมว่าธุรกิจต่างๆ ที่ผู้หญิงดูแลนั้นไปได้สวยกว่าตอนที่ผู้ชายเป็นเจ้าของกิจการซะอีก พอล คากาเม (Paul Kagame) ประธานาธิบดีของรวันดา กล่าวว่า เศรษฐกิจของรวันดาเติบโตขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของผู้หญิง ดังนั้นเมื่อมีคนพูดว่า ‘ แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นล่ะ ถ้าผู้หญิงได้เป็นผู้นำหรือมีส่วนรับผิดชอบในธุรกิจ’ ฉันก็จะบอกว่า ‘ ไปดูสิ่งที่เกิดกับประเทศรวันดาสิ’ มันคือเรื่องราวที่ดีมาก

การทำงานเกี่ยวกับประเด็นนี้มาอย่างยาวนานได้เรียนรู้อะไรบ้าง 

มันเหมือนกับตำนานกษัตริย์ซิซิฟัส (Sisyphus) ของกรีกที่โดนลงโทษ เมื่อเขากลิ้งหินขึ้นไปบนเนิน หินนั้นกลับหล่นลงมาทับตัวเขาบ้างในบางครั้ง นั่นเป็นมุมมองที่ฉันเห็นจากงานของฉัน ซึ่งบางทีก็เหมือนทำไปโดยไร้ประโยชน์ แล้วก็ต้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่มีสิ้นสุด แต่สิ่งที่ทำให้ฉันสู้ต่อนั่นก็คือ ผู้หญิงเราเป็นเพศที่สุดยอดมาก ฉันรู้สึกภูมิใจในทุกความสำเร็จก้าวเล็กๆ ของพวกเธอ 

ผู้หญิงเราอยากที่จะทำงาน แม้ว่าบางครั้งครอบครัวของพวกเธอจะห้ามปราม พวกเธอเริ่มต้นธุรกิจโดยที่ไม่มีหลักค้ำประกัน ไม่มีแบบอย่างในการดำเนินธุรกิจ แต่พวกเธอก็ทำมันออกมาได้ พวกเธอไปโรงเรียน ขณะที่ผู้คนรอบข้างห้ามไม่ให้เธอเรียนหนังสือ แต่พวกเธอก็เรียนจบ ได้วิชาความรู้ติดตัวมา จนตอนนี้เติบโตเป็นนักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยแล้ว ผู้หญิงได้ทำการปฏิวัติเศรษฐกิจ และพวกเธอก็ทำได้ด้วยตัวคนเดียว นั่นคือธีมของงาน Global Summit on Women ปี 2020

ใครคือบุคคลที่คุณประทับใจในบรรดาผู้นำสตรี

มีผู้หญิงที่เป็นผู้นำหลายคนเลยที่ฉันประทับใจ เช่น อังเกลา แมร์เคิล (Angela Merkel) นายกรัฐมนตรีเยอรมัน เธอรวบรวมยุโรปเป็นปึกแผ่นด้วยสันติ ไม่มีดราม่าใดใด และมีความมั่นคงสูง เธอมีความเป็นผู้นำที่ยั่งยื่น นั่นคือสิ่งที่ฉันคิดว่าเธอสุดยอดมาก 

มีผู้หญิงหลายคนเลยที่ฉันรู้สึกภูมิใจมากๆ ไม่ใช่เพียงแต่ผู้หญิงที่อยู่ในระดับบนเท่านั้น แต่ว่ามีผู้หญิงบางกลุ่มที่จัดตั้ง สมาคมสตรีที่หาเลี้ยงชีพด้วยตัวเอง (Self-employed Women’s Association) ในประเทศอินเดีย เป็นเรื่องที่เรียบง่ายมาก ประมาณว่า มีผู้หญิงที่ขายผักอยู่ในตลาด เธอรวบรวมคนกลุ่มนั้นเข้าไว้ด้วยกัน ด้วยเหตุผลสำคัญว่า ปัจจุบันพวกเธอมีธุรกิจที่มีหน้าร้านของตัวเอง แล้วก็ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลด้วย

อเลีย บาตต์ (Alia Bhatt) ฉันให้รางวัลกับเธอเมื่อนานมาแล้ว ตั้งแต่ปี 2005 ที่เม็กซิโก ยังมี แมรี โรบินสัน (Mary Robinson) อดีตประธานาธิบดีของไอร์แลนด์ ซึ่งปัจจุบันเธอเป็นประธานกรรมการสิทธิสตรีของ UN ยังมีตัวอย่างของคนที่ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำด้วยใจจริง แต่ยังเป็นคนที่ฉลาดและมีแนวคิดยั่งยืนอีกด้วย ซึ่งก็คือ จาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) ประธานาธิบดีของนิวซีแลนด์ ผู้นำพาประเทศของเธอให้หลุดพ้นจากเหตุการณ์ฆาตกรรมหมู่ในโบสถ์จำนวน 51 ราย และเธอก็บัญญัติกฎหมายซึ่งรับประกันว่าเหตุการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก จากนั้นเธอก็สร้างงบประมาณที่ไม่ได้มาจาก GDP แต่ตั้งการวัดผลขึ้นมาใหม่ ที่เรียกว่า การสวัสดิภาพที่ดี (Well-being)  ระบบสาธารณะสุข (Healthcare) และมุ่งการลดความยากจนในประเทศ รวมไปถึงการจัดการเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ (Climate Change) ทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน แทนที่จะเป็นการพุ่งเป้าไปว่าปีนี้เราใช้งบประมาณในการพัฒนาประเทศไปเท่าไหร่ แต่สนใจว่าเราใช้เงินจำนวนนั้นอย่างไรบ้างมากกว่า และนั่นคือตัวอย่างที่บ่งบอกว่า ทำไมฉันถึงรู้สึกภูมิใจในตัวผู้หญิงนัก

หรือแม้แต่ผู้ชายอย่าง เนลสัน แมนเดลา (Nelson Mandela) ซึ่งเคยเข้าร่วมงานประชุมของเราในปี 2000 เขากล่าวว่า “ ถ้าผมจะกล่าวอะไรซักอย่าง ผมคงบอกว่า ผมอยากให้ผู้หญิงปกครองโลกนี้ เพราะคุณลองดูสิ่งที่พวกผู้ชายทำลงไปสิ…”

คุณได้เรียนรู้อะไรจากบุคคลน่ายกย่องเหล่านี้บ้าง

มันทำให้ฉันมีแรงก้าวเดินต่อ พวกเธอให้แรงบันดาลใจแก่ฉัน เช่นเดียวกันกับการที่พวกเธอได้เข้ามาร่วมงานประชุมแล้วบอกว่า พวกเธอได้รับแรงบันดาลใจจากงานนี้ มันมีบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นเมื่อผู้หญิงมารวมตัวอยู่ด้วยกัน มันเหมือนมีพลังงานบวก บรรยากาศดีๆ เหมือนพวกเธอได้สูดออกซิเจนด้วยกัน แบบเดียวกัน แล้วพวกเธอก็ออกไปเปลี่ยนแปลงโลกต่อ มันคือแนวคิดทั้งหมดที่ช่วยให้เราก้าวเดินต่อ เพราะตอนนี้โลกไม่ใช่ของเราและเรายังไม่มีโอกาสหรือหน้าที่ที่จะได้รับผิดชอบโลกนี้มากพอ

ฝากถึงผู้หญิงรุ่นใหม่ที่กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเด็นความเท่าเทียมทางเพศ 

พวกเธอสามารถทำอะไรให้โลกนี้ได้หลายอย่างเลย แนวทางของโลกนี้ขึ้นอยู่กับคนรุ่นใหม่ การเดินขบวนรณรงค์การรักษ์โลกในหลายประเทศ ต่างก็มีแกนนำเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ทั้งนั้น และ 60% ของคนเหล่านั้น เป็นวัยรุ่นสาวๆ ฉันรู้สึกภูมิใจในตัวพวกเธอมากๆ ดูสิปัจจุบันก็มีเด็กสาวอายุ 16 ที่เป็นเหมือนดาวดวงใหม่ในการเคลื่อนไหวการรณรงค์เหล่านี้ พวกเธอบอกว่า มันคืออนาคตของพวกเรา พวกเราอยากทำการเปลี่ยนแปลง นั่นแสดงให้เห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องอื่นใด นอกซะจากจะเป็นการแสดงถึงพลังของสาวๆ ที่ตัดสินใจทำอะไรซักอย่างร่วมกัน ว่าพวกเธอสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างได้ ไม่ได้ทำเพียงเพื่อแค่ตัวพวกเธอเองเท่านั้น แต่พวกเธอก็ทำเพื่อคนอื่นด้วย

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า