SHARE

คัดลอกแล้ว

เมื่อถูกถามว่าอะไรในซีรีส์ ‘ทำนายทายทัพ My Magic Prophecy’ ที่แฟนๆ  เห็นแล้วต้องกรี๊ดแน่นอน ‘จิมมี่’ ไม่ลังเลที่จะตอบว่า

ซีนสุดท้ายของอีพีสุดท้ายตอนจบ” 

‘ทำนายทายทัพ My Magic Prophecy’ ถือเป็นซีรีส์วายไทยแนวใหม่อีกหนึ่งเรื่องที่น่าจับตามอง ที่เล่าเรื่องผ่านสองอาชีพที่แตกต่างกันสุดขั้ว ‘หมอ’ และ ‘หมอดู’ มาสะท้อนมุมมองชีวิตในด้านหลักเหตุผลและด้านที่เหนือธรรมชาติ 

กับเรื่องราวของ ‘อิน’ หมอดูไพ่ทาโรต์ที่โคตรแม่น ต้องมาแกล้งดูดวงตบตาแม่ของ เพื่อนสนิทอย่าง ‘ทอดาว’ และได้บังเอิญเจอกับ ‘ทัพฟ้า’ หมอเวชบําบัดวิกฤต ซึ่งคือพี่ชายของ ‘ทอดาว’ ที่โคตรกวนแถมยังเกลียดหมอดูเข้าไส้ 

แต่ครั้งแรกที่เจอกัน ‘อิน’ ก็เผลอทักว่า ‘หมอทัพ’ กำลังจะมีเคราะห์หนักจนอาจถึงแก่ชีวิต แรกเริ่ม ‘หมอทัพ’ ก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ดันเจอแต่เรื่องซวยไม่หยุด สุดท้ายโชคชะตาจะนำพาให้พวกเขาต้องพบเจอกับอะไร

งานนี้ ‘จิมมี่-ซี-เซฟ-ฟรัง-เอแคร์’ 5 นักแสดงจากซีรีส์ ‘ทำนายทายทัพ My Magic Prophecy’ จะมาพูดคุยถึงเบื้องหลังการถ่ายทำ และเจาะลึกถึงการทุ่มเทให้สมบทบาทของตัวละคร รวมไปถึงสปอยฉากสุดกรี้ดจากซีรีส์ที่แฟนๆ ไม่ควรพลาด

Q : ซีรีส์ที่จับหมอจริงและหมอดูมาเจอกัน ตอนอ่านบทครั้งแรก รู้สึกยังไงบ้าง 

ซี ทวินันท์ : รู้สึกตื่นเต้นนะครับ เพราะว่าบทที่ซีได้รับเป็นอาชีพหมอดู ค่อนข้างไกลตัวมาก ถึงแม้ว่าซีเองจะเคยดูดวงมาแล้วบ้าง แต่ซีไม่เคยสัมผัสอาชีพหมอดูมาก่อน ก็เลยต้องเรียนรู้ค่อนข้างเยอะ แล้วก็ทำรีเสิร์ชด้วยครับ

ตอนที่เรียนดูดวง ผมประทับใจกับการที่หมอดูสามารถตีความหมายออกมาจากไพ่ใบหนึ่งได้ครับ ผมรู้สึกว่าต้องมีความถนัด มีการใช้จิตวิทยาค่อนข้างเยอะ ใช้ความรู้รอบตัว หรือว่าประสบการณ์ทุกอย่าง เพื่อมาปรับจูนให้เป็นวิธีการพูดของแบบหมอดูจริงๆ  

จิมมี่ จิตรพล : ท้าทายมากจริงๆ ครับ ที่ต้องเล่นเป็นหมอ ในอาชีพที่ผมเองเป็นหมออยู่แล้ว เพราะว่าเราต้องทำให้จริงที่สุด ถ้าทำไม่ดีคือผมก็สบประมาทตัวผมเองอีก (ยิ้ม) ทั้งท้าทาย และกดดัน แล้วก็สนุกดีครับ 

เซฟ ไซสวัสดิ์ : การมารับบทตำรวจ ผมรู้สึกว่าห่างไกลกับตัวผมมาก มีความยากทั้งในการทำงานและการทำความเข้าใจอาชีพตำรวจครับ เพราะว่าตัวละครก็จะมีมุมที่เข้ม ดุดัน ในเวลาทำงาน ซึ่งตัวจริงของผมก็อาจจะห่างไกลจากตัวละครนิดนึงครับ 

ฟรัง นรุทธ์ : ตื่นเต้นครับ แถมเรื่องนี้ก็ได้เล่นกับ เซฟ เป็นครั้งแรกด้วยครับ บทบาทผมก็ค่อนข้างไกลตัวเองเหมือนกัน เพราะต้องรับบทเป็นหมอ ซึ่งเราไม่มีความรู้ในด้านนี้มาก่อนเลย ก็ค่อนข้างท้าทายในการทำการบ้านมากครับ

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : รู้สึกชอบ ตั้งแต่ตอนที่อ่านบทครั้งแรกเลยค่ะ  คือรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างครบ ด้วยเนื้อเรื่องที่ดูมีปมให้น่าติดตาม แล้วก็มีอาชีพที่น่าสนใจ ก็เลยรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ดูสนุกมากๆ เลยค่ะ

Q : บทบาท ‘หมอทัพฟ้า’ ท้าทายกับจิมมี่อย่างไรบ้าง  

จิมมี่ จิตรพล : ตอนนี้ในชีวิตจริงของผมมีอยู่สองอาชีพด้วยกัน คือนักแสดงและหมอ ใช่ไหมครับ

แต่ตอนนี้พอผมต้องมาเล่นเป็นหมอ ผมก็เลยกำลังเอาอาชีพนักแสดงไปสวมทับบทบาทของการเป็นหมออีกที แต่ผมไม่ได้เอาอาชีพความเป็นหมอของผมไปสวมบทเป็นหมอนะ งงไหมครับ งง (หัวเราะ)

นี่คือความยากของผมเลยครับ คือผมอยากเอาความเป็นนักแสดงของเราไปรับบทบาทเป็นหมอ ซึ่งหมายความว่าสิ่งนี้จะต้องไม่เหมือนความเป็นหมอที่เราเป็นอยู่ในชีวิตจริง 

ถ้าพูดว่าได้เปรียบ ผมว่าอาจตรงข้ามด้วยซ้ำครับ อาจจะกลายเป็นว่าเสียเปรียบในพาร์ทด้านการแสดง เพราะผมอาจจะทำให้คนดูเชื่อได้ยากขึ้นว่า ตัวละครนี้คือหมออีกคนหนึ่ง ไม่ใช่หมอจิมมี่

อันนี้เป็นโจทย์ที่ผมคิดไว้ตั้งแต่แรก ผมรู้ว่านี่เป็นข้อจำกัด สมมุติว่าคนดูเห็นว่านี่คือหมอทัพฟ้าจะดีมากครับ แต่ถ้าคนดูมองว่าคนนี้คือหมอจิมมี่ คนดูจะอินกับเรื่องได้น้อยลง นี่คือความยากของผมครับ 

Q : ใน special อีพีเอง จิมมี่ก็บอกว่า ‘หมอทัพฟ้า’ กับตัวเองมีความคล้ายกันมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่จิมมี่ไม่เคย express ออกมาเลย สิ่งนั้นคืออะไร

จิมมี่ จิตรพล : สิ่งเหล่านั้นคือ ความยากในมุมตอนที่ผมได้อ่านบท ผมรู้เลยว่ายากจริงๆ ครับ เพราะว่าความคิดความอ่านของตัวละครทัพฟ้า ประสบการณ์ชีวิต อายุ แทบจะใกล้เคียงผมมากๆ เลยครับ 

อย่างที่ผมเคยถามตอนให้สัมภาษณ์ช่วง special อีพี ว่า พี่จ๋า(ผู้จัดซีรีส์) รู้จักผมมาก่อน หรือเคยไปสเกาท์ (สังเกตการณ์) ชีวิตผมมาก่อนหรือเปล่า ซึ่งพี่จ๋าเองก็ตอบว่า “ไม่” 

คือคาแรคเตอร์ทัพฟ้าก็ดันมาใกล้เคียงกับชีวิตส่วนตัวของผมที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครได้เห็น ผมเลยค่อนข้างที่จะประหลาดใจ (ยิ้ม) 

คือในพาร์ทนั้นส่วนใหญ่ จะเป็นพาร์ทเวลาที่ได้อยู่กับ ‘คนรัก’ หรืออยู่กับ ‘ครอบครัว’ ซึ่งเป็นพาร์ทที่ผมไม่ค่อยเอาออกมาให้คนอื่นได้เห็นครับ ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้เอาพาร์ทนี้มาให้ได้เห็นกันในคาแรคเตอร์ของทัพฟ้าครับ

ซึ่งตั้งแต่ตอนเล่น ผมไม่ได้เอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองหรือว่าความคุ้นชินของตัวเองไปใส่ในคาแรคเตอร์ แต่ว่าผมพยายามที่จะอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้าให้ได้ดีที่สุดมากกว่าครับ 

ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ น้องเอแคร์ เลยครับ เพราะน้องเอแคร์หน้าเหมือนน้องสาวผมมาก เวลาผมเล่น ผมจะนึกว่านี่คือน้องสาวผมครับ แต่ผมไม่เคยคิดว่า เอแคร์ คือ มีมี่ (น้องสาวของจิมมี่) อันนี้ถือเป็นสิ่งที่สนุกและท้าทายกับตัวเองเหมือนกันครับ

Q : “คุณเห็นคนป่วยคุณช่วยได้ แต่ผมเห็นคนตาย ผมช่วยใครไม่ได้เลยไง” แค่ประโยคเดียวจาก ‘อิน’ รู้เลยว่าภายใต้ความนุ่มฟูของ ‘อิน’ ต้องแบกความรู้สึกไว้เยอะมาก ซีมีวิธีทำการบ้านอย่างไรบ้าง

ซี ทวินันท์ : คือในฐานะหมอดูผมก็รู้สึกว่า บางอย่างหมอดูไม่สามารถพูดตรงๆ กับคนที่เขามาดูดวงได้ ซึ่งนี่ถือเป็นความลำบากใจของหมอดู เพราะจะมีจรรยาบรรณของหมอดูอยู่ครับ 

หมอดูเขาจะบอกเป็นไกด์ไลน์ ไม่ได้บอกความจริงแบบสิ่งที่เขาเห็น เพราะเป็นสิ่งที่หมอดูไม่ควรทำ ซึ่งบทนี้เป็นความรู้สึกที่ ตัวละครอิน อยากจะเตือน แต่ทำไม่ได้หรือช่วยเขาไม่ทัน 

ในซีนนั้นมันเป็นอารมณ์แบบ “มึงสามารถช่วยคนได้ คือกูอยากจะช่วยคนแทบตายแต่ทำอะไรไม่ได้เลยแค่อยากจะบอกว่า เฮ้ย! ฟังหน่อย สิ่งที่เรากำลังจะบอกมันสำคัญมากเลยนะในชีวิต” (ยิ้ม)

Q : บท ‘สารวัตรต้น’ ที่ดูเป็นผู้ใหญ่มาก ด้วยหน้าที่และตำแหน่ง เซฟ ทำการบ้านกับบทบาทนี้อย่างไรบ้าง

เซฟ ไซสวัสดิ์ :  สำหรับผมแทบจะปรับหลายอย่างมากครับ เช่น บุคลิกภาพ เพราะการเป็นตำรวจบางที จะต้องมีความเคร่งขรึม หรือ น้ำเสียง การพูด ที่อาจจะต้องทำการบ้านเยอะหน่อยครับ  ซึ่งวิธีการพูดต้องชัดถ้อยชัดคำ มีน้ำหนัก ทุกอย่างเลยครับ ส่วนใหญ่จะทำการบ้านในเรื่องนี้หนักมากครับ

Q : บท ‘หมอปกป้อง’ เป็นหมอเฉพาะทางเรื่อง ‘ผ่าตัดหัวใจ’ ฟรัง ทำการบ้านอย่างไรบ้าง

ฟรัง นรุทธ์ : ผมก็มีการหาข้อมูลเองบ้างครับ ว่าตัวละครหมอหัวใจที่เราแสดงในเรื่องนี้เป็นอย่างไร มีวิธีการแสดง บุคลิก และการใช้ชีวิตอย่างไรครับ  

ประกอบกับในกองถ่ายก็จะมีทีมงานหมอจริงๆ คอยช่วยเรื่องศัพท์การแพทย์ และศัพท์อะไรต่างๆ วิธีการใช้เครื่องมือด้วยครับ ก็เป็นไปได้ด้วยดีครับ (หัวเราะ)

Q : บท ‘ทอดาว’ ดูมี เอเนอจี้ เยอะมาก เอแคร์มีการปรับตัวหรือทำการบ้านยังไงบ้างกับการปลดปล่อยเอเนอจี้ให้เท่ากับทอดาว

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : เอแคร์เป็นคนมีเอเนอจี้เยอะในบางครั้ง แต่ด้วยความที่ตัวละครของ ทอดาว จะมีเอเนอจี้ขึ้นลงตลอดเวลา และทุกอย่างจะแสดงออกแบบใหญ่มากๆ 

พอถึง ณ จุดหนึ่ง ก็ต้องบูสต์ตัวเองไปให้ถึงด้วยการกระโดด หรือว่าที่พี่จิมมี่เคยบอกให้ถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วตั้งสติ แล้วก็ค่อยเริ่ม 

จิมมี่ จิตรพล : พี่บอกตอนไหนนะ (หัวเราะ)

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ :  สักตอนหนึ่ง (หัวเราะ) 

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : ซึ่งทำแล้วก็เวิร์คมาก เพราะว่าเหมือนเป็นการปลดปล่อย แล้วก็ออกมาทีเดียว ถือว่าค่อนข้างยากเลยค่ะ

Q : เห็น ‘จูเนียร์’ แซวเรื่องอายุห่างกัน 10 ปี แต่ต้องมาเล่นเป็นเพื่อนกัน เอแคร์มีอะไรอยากบอกพี่ ‘จูเนียร์’ บ้างไหม

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : หนูว่าตอนนี้พี่จูร้องไห้แล้ว โดนจี้ (หัวเราะ) อยากจะบอกว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขค่ะ ถ้าใจเรายังเด็กเราก็ยังเด็กค่ะ

Q : เรื่องนี้เป็นซีรีส์เรื่องแรกที่พี่จ๋าขยับมาทำซีรีส์ BL ทำให้อาจจะมีรสชาติใหม่ๆ ที่ในฐานะนักแสดงเราไม่เคยได้เจอมาก่อน รู้สึกว่ามันมีความสดใหม่อะไรที่น่าสนใจหรือน่าประทับใจไหม

จิมมี่ จิตรพล : จริงๆ แล้ว พี่จ๋าตื่นเต้นมากเหมือนกันครับ ที่จะได้มาทำงาน ณ ตรงนี้ เพราะถือเป็นอารมณ์ใหม่ๆ ที่พี่จ๋าไม่เคยทำมาก่อน ซึ่งพี่จ๋าก็ต้องปรับตัวเหมือนกันครับ 

สิ่งแรกที่พี่จ๋าทำเลย ก็คือไปดูซีรีส์ของ GMMTV ที่เคยทำมาก่อน หรือว่าดูเรื่อง Last Twilight ที่ผมกับซีเคยเล่นด้วยกัน หรือส่องใน X (แอปพลิเคชั่น) ว่าโซเชียลตรงนั้นเขามีชีวิตกันอย่างไรนะ 

อันนี้เป็นสิ่งที่พี่จ๋าตื่นเต้น แล้วก็พยายามทำการบ้านอยู่ตลอด แต่สิ่งที่พี่จ๋าและทีมแข็งแกร่งมากคือ เรื่อง ‘การเขียนบท’ และเรื่อง ‘โปรดักชั่น’ เป็นสิ่งที่เขามีของมาให้เราเต็มที่ ซึ่งทางเราเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับพี่จ๋าและทีมด้วยเหมือนกันครับ 

ถ้าถามว่าคนดูจะได้รสชาติอะไรใหม่ๆ ก็น่าจะได้เยอะเลยครับ เพราะว่าสไตล์ของพี่จ๋าเป็นแนวละครโทรทัศน์  บทที่เขียนออกมาก็มีความเป็นละคร และทีมนักแสดง โดยเฉพาะพี่ๆ นักแสดงรุ่นใหญ่ที่พี่จ๋าคัดมา ก็เป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์และมีความเชี่ยวชาญในการแสดงละครด้วย 

Q : สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้จากนักแสดงชั้นครูในเรื่องนี้คืออะไรบ้าง  

จิมมี่ จิตรพล : ผมขอเริ่มจากพ่อแม่เลยครับ คือ พี่ก้อย นฤมล กับ พี่เอ็ม อภินันท์ ครับ สิ่งที่ผมได้รับจากทั้งคู่เลย ก็คือความอบอุ่น และความรักในครอบครัว ซึ่งทำให้ผมเชื่อได้ง่ายๆ เลยครับว่านี่คือพ่อแม่ผม 

แม้ผมกับพี่ๆ อาจจะไม่ได้เจอกันในซีนอารมณ์ที่ต้องปะทะกันมากมาย แต่ในพาร์ทด้านครอบครัว พี่ๆ ทั้งสองคนทำได้ดีและสมบูรณ์แบบมากๆ ทำให้การถ่ายทำของผมในบ้านทัพฟ้า ผ่านไปได้ด้วยดีครับ 

และอีกคนคือ ครูรัก ศรัทธา ตอนแรกผมกลัวครูรักมากครับ เพราะเป็นนักแสดงชั้นครู  แต่พอได้เล่นกันไปเรื่อยๆ ตอนนี้ถือว่าเป็นเพื่อนกันแล้วครับ 

ก็สนุกมากๆครับ ที่ได้ร่วมงานกับครูรัก เพราะครูรักแทบจะไม่ถือตัวเลย แล้วก็พึ่งมาทราบตอนไปกองว่าครูรักก็เรียนจบเชียงใหม่ เป็นรุ่นพี่ผมเองครับ ก็เลยมีโอกาสได้ออกไปข้างนอกด้วยกัน ได้กินข้าวแล้วก็คุยกันอยู่บ่อยๆ ครับ 

ซี ทวินันท์ : ผมก็จะมี แม่หยา จรรยา ผมเรียนรู้จากแม่หยาค่อนข้างเยอะเลยครับ ยกตัวอย่างในซีรีส์จะมีซีนหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าผมเล่นไม่ได้เลย แล้วแม่หยาแค่บอกว่า “เออ ไม่เป็นไร รับจากแม่ไปนะ”

แม่หยาก็ส่งมาจนเต็ม จนทำให้ผมรู้สึกได้เลยว่า “อ๋อ ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง” ที่ผมรับรู้ได้ว่า ถ้าเป็นคนๆ นึง ควรจะต้องเสียใจขนาดไหน  ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้จากประสบการณ์จากพี่ๆ เยอะมากครับ และเอาไปปรับใช้ได้ด้วย 

เพราะว่าเล่นกับนักแสดงใหญ่ๆ คือเราได้เห็นฝีไม้ลายมือ บวกกับเราได้ทักษะอะไรใหม่ๆ จากพี่ๆ ด้วยครับ ทักษะเหล่านี้คือประสบการณ์เท่านั้น 

เซฟ ไซสวัสดิ์ : ผมได้เข้าฉากกับ พี่เพทาย ภูริต บ่อยครับ ซึ่งผมได้เรียนรู้อะไรจากพี่เขาเยอะมากๆ ครับ แต่ผมไม่อยากพูดเยอะกลัวสปอยมากครับ (หัวเราะ)

จิมมี่ จิตรพล : แล้วก็มี พี่ไอซ์ อธิชนัน ครับ รับบทเป็น ภรรยา ของ พี่เพทาย ภูริต ครับ พี่ไอซ์เป็นคนน่ารักครับ และถือว่าเป็นตัวละครที่สำคัญมากในเรื่อง พี่ไอซ์ถือถือว่าเชี่ยวชาญมากๆ และจะเข้ากับผมเยอะครับ 

พี่ไอซ์มอบความเชื่อใจให้ผม เหมือนตัวอย่างซีรีส์ ที่เห็นว่าผมต้องปั๊มหัวใจ ซึ่งพี่ไอซ์เชื่อใจว่าผมจะไม่ทำเขาบาดเจ็บอะไรแบบนี้ครับ พี่ไอซ์ก็ยินดีแล้วก็ยอมให้ผมเต็มที่ 

วันนั้นเอาจริงผมเป็นกังวลอยู่เยอะมากพอสมควรเลยครับ เพราะเป็นซีนที่ต้องช่วยชีวิตคน ซึ่งคนไทยมักจะชอบจับผิดตรงนี้ใช่ไหม ก็ค่อนข้างที่จะกดดันกับตัวผมมาก ช่วงนั้นผมเล่นเสร็จแล้วรีบวิ่งมาเช็กมอนิเตอร์ว่า ถูกไหม (ยิ้ม)

แต่ว่าพี่ไอซ์ก็เป็นคนหนึ่งที่ทำให้การถ่ายทำในวันนั้นผ่านไปด้วยดีครับ ซึ่งยินดีมากๆ ที่ได้เล่นกับพี่ไอซ์ครับ

Q : ถ้าสมมติว่าต้องให้หนึ่งในห้าคนนี้เป็นหมอดู คิดว่าคนนั้นจะเป็นใคร แล้วคาแรคเตอร์จะเป็นยังไง

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : หนูว่าเป็นพี่จิมมี่ค่ะ 

จิมมี่ จิตรพล : เป็นพี่เหรอ (ยิ้ม) 

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ :ใช่ค่ะ เหมือนเป็นหมอดูแบบใหม่ เป็นหมอดูที่ดูมีเหตุผล 

เซฟ ไซสวัสดิ์ : หมอดูแบบวิทยาศาสตร์ครับ (หัวเราะ)

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : มีเหตุผลมาซัพพอร์ตเรา 

จิมมี่ จิตรพล : พูดให้เราเชื่อได้ (หัวเราะ)

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : และดูมีวาทศิลป์ในการพูด ที่จะเชื่อแน่ๆ 100% อย่างเช่น อาจจะไปทางโหราศาสตร์อะไรแบบนี้ก็ได้ค่ะ แบบมีตัวเลข ซึ่งดูจะเป็นหมอดูที่น่าเชื่อถือคนนึง 

ซี ทวินันท์ : เพราะเป็นคนโน้มน้าวเก่งครับ เวลาเล่นเกมก็จะเห็นทักษะสับขาหลอกบ้างครับ (หัวเราะ) 

Q : ทั้ง 5 ตัวละคร ได้สอนอะไรเราบ้าง หรือมีอะไรที่เราได้เรียนรู้จากตัวละครบ้างไหม

เซฟ ไซสวัสดิ์ : ตัวละคร สารวัตต้น สิ่งที่สอนผมเลย ก็จะเป็นความไม่ยอมแพ้ครับ จะทำให้ได้ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์

ฟรัง นรุทธ์ : ผมก็น่าจะเป็นเรื่องการใส่ใจคนรอบตัวครับ

ซี ทวินันท์ : สิ่งที่ได้จากตัวละคร อิน คือวิธีการคิดเกี่ยวกับการไม่ประมาท และเป็นห่วงคนรอบข้าง รวมถึงสกิล เทคนิค จากเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะจากตัวละครนี้ด้วย ในการแสดงด้วย แล้วก็ได้ครอบครัวใหม่ด้วยครับ

จิมมี่ จิตรพล : หลักๆ ของทัพฟ้าเลยคือ อย่าเอาประสบการณ์ชีวิตของตัวเองไปตัดสินคนอื่น เพราะนี่คือสิ่งที่ทัพฟ้าน่าจะเป็น เพราะถือว่าเขาเป็นหมอและเขาก็มีอีโก้เยอะ ซึ่งอาจจะคิดว่าสิ่งที่ทำถูกต้องอยู่แล้ว หรือบางทีอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นก็ได้ครับ 

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ : ได้ประสบการณ์การแสดงเยอะเลยค่ะ แล้วก็ได้ทำงานกับพี่ที่เก่งๆ  ถือเป็นเรื่องที่ทำให้บูสต์ตัวเองขึ้นมาได้หลายอย่าง เช่น เรื่อง สกิล ความกล้าในการแสดงค่ะ

Q : อยากให้ลอง ‘ทำนาย’ ดูว่าแฟนๆ จะกรี้ดฉากไหนในเรื่องมากที่สุด

เอแคร์ ชมพูพันธุ์ทิพย์ :  น่าจะเป็นซีนตอนที่รับสายโทรศัพท์ แล้วก็รู้เรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่ะ (หัวเราะ) 

ซี ทวินันท์ : ผมว่ากรี้ดทุกฉากครับ (หัวเราะ) 

ซี ทวินันท์ : เพราะว่า มีทั้งลุ้น เขิน และทุกอย่างเลยครับ ผมว่ากรี๊ดหมดทุกสิ่งเลยครับ มีหลายอย่างมากครับ คือขนาดผมอ่านเองยังรู้สึกว่า สุดเหวี่ยง กรี๊ดสุดเหวี่ยงแน่นอนครับ 

จิมมี่ จิตรพล : ซีนสุดท้ายตอนจบ เพราะผมมั่นใจด้วยว่าดีครับ (ยิ้ม)

จิมมี่ จิตรพล : ที่สำคัญผมว่ายังไม่มีใครรู้ด้วย และสามคนนี้ก็ยังไม่รู้ด้วยครับ (ชี้ไปที่ เซฟ-ฟรัง-เอแคร์)

จิมมี่ จิตรพล : เพราะต่อให้ไปเปิดบทที่ได้มา ก็ไม่ได้เล่นแบบนั้นครับ (ยิ้ม) 

จิมมี่ จิตรพล : เรียกว่าเป็นซีนแก้มือด้วยแล้วกัน อันนี้ถือว่าเป็นอินไซต์ครับ คือถ้าเป็นในเรื่อง Last Twilight เหมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่พี่อ๊อฟ (ผู้กำกับ) ต้องการจากผมและซี ซึ่งตอนนั้นยังไม่เข้าใจ และทำให้ไม่ได้ แต่ว่ามาแก้ตัวให้ตอนนี้ครับ ซีนสุดท้ายของอีพีสุดท้ายตอนจบครับ (ยิ้ม) 

เซฟ ไซสวัสดิ์ : ผมจะเป็นช่วงไขคดีครับ เป็นซีนที่แบบว่าทุกอย่างนัวมากครับ (หัวเราะ)

ฟรัง นรุทธ์ : คิดว่าจะเป็นซีนท้ายๆ หน่อยครับ ก่อนที่ทุกอย่างเริ่มลงตัว กรี้ดแน่นอนครับ (ยิ้ม)

YouTube video

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า