Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ใต้ร่มเงาต้นไม้ที่ร่มรื่น ภายในรั้วคาเฟ่ในสวน Coffee Tree พิกัดในซอยติวานนท์ 3 workpointTODAY ได้พูดคุยกับทราย – อินทิรา เจริญปุระ นักแสดงและนักร้องมากความสามารถในวัย 39 ปี หลังจากที่เธอโพสต์เฟซบุ๊กว่า ร้านกาแฟของน้องชายขายดีมาก มีลูกค้าเข้ามาอุดหนุนจำนวนมากจนไม่สามารถผลิตและบริการลูกค้าได้ทัน ต้องขอให้ลูกค้าที่มาคนเดียวอย่าเหมาขนมเค้กหมด เกรงว่าลูกค้าคนอื่นๆ จะไม่ได้ชิมเค้ก

จุดเริ่มต้นของร้าน Coffee Tree เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ซึ่งน้องชายของเธอ ‘ภวัต เจริญปุระ’ หรือท็อฟฟี่ ได้ออกจากงานประจำเพื่อมาดูแลคุณพ่อในช่วงที่กำลังป่วย แล้วที่บ้านก็พอจะมีที่อยู่ เขาอยากทำร้านกาแฟเธอก็สนับสนุนให้มาเปิดร้าน ต่อมาน้องสะใภ้ก็จะเป็นคนทำเค้ก ทำขนม ก็ช่วยๆ ทำกันในครอบครัว ส่วนตัวเธอเองไม่ได้มีหุ้นส่วน หรือมีความสามารถในการชงกาแฟหรือทำขนมอะไรเลย จะช่วยด้านการโปรโมทร้านซะมากกว่า แนะนำได้ว่าเค้กอะไรอร่อยที่สุด เครื่องดื่มอะไรที่เป็นซิกเนเจอร์ของร้าน

“เค้กอร่อยสุด แมคคาเดเมียชีสเค้ก เป็นที่กล่าวขวัญ เครื่องดื่มต้อง อเมริกาโน่ใส่น้ำมะพร้าวอ่อน ลาเต้มะพร้าวอ่อน และอยากแนะนำข้าวไข่ข้น”

พลังในโลกออนไลน์ที่ถูกแปลเป็นยอดขายของร้านเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เธอยอมรับว่าสร้างความประหลาดใจให้เธอและทุกคนในร้านเป็นอย่างมาก ซึ่งมองว่าเป็นวิธีการหนึ่งของเด็ก ๆ ที่อยากมาช่วยรีวิวและสนับสนุนตนเองบ้างในแบบของเขา หลังจากเธอเปิดตัวขออาสาเป็นท่อน้ำเลี้ยงการชุมนุม “ประชาชนปลดแอก” และสนับสนุนกลุ่มเยาวชนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตย ซึ่งกลายเป็นผลตอบรับที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ

“มองว่าเป็นสิทธิผู้บริโภค แต่ก็ยังตกใจอยู่ดี ยังไงก็ยังรู้สึก แต่มันเป็นวิธีการแสดงออกสนับสนุนในแบบเขา ถ้าหากลิเกมีแม่ยก น้องเขาก็จะสนับสนุนแบบนี้ด้วยการ หนูไปกินเค้กร้านพี่ หนูไปรีวิวร้านพี่ หนูไปถ่ายรูปที่ร้านพี่ดีกว่า อะไรแบบนี้มันเป็นวิธีการของเขา น้องกำเงินมา ทั้งที่คาเฟ่ในกรุงเทพฯ มีเป็นพันร้านแต่เขาเลือกร้านเรา เพราะเขาอยากจะบอกเราตรงนี้ ซึ่งมันเป็นหนทางของเขา เราก็ขอบคุณ”

“บางวันน้อง ๆ ในร้านบอกว่า พี่ทรายครับ ผมขอปิดร้านก่อนเลยน่ะ เขาบอกน้ำแข็งหมดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างหมดแล้ว เราก็แบบตกใจมาก ในช่วงนี้ถ้าขาดตกบกพร่องในแง่การดูแลลูกค้าก็ต้องขอโทษด้วยมาก ๆ เพราะทุกคนก็ยังตื่นเต้น กำลังการผลิตก็ยังทำได้น้อย เพราะทำกันในครอบครัวแรงคนล้วน ๆ  ยังไม่ใช่ระดับอุตสาหกรรม ถ้ามาแล้วไม่ถูกใจ ไม่ได้ดั่งใจอะไรไปบ้างก็ต้องขอโทษด้วย และยังไงก็ต้องขอบคุณด้วยที่มีความตั้งใจอยากมาซัพพอร์ต”  ทราย เล่าด้วยรอยยิ้ม

‘ทราย เจริญปุระ’ ในวันที่คนรุ่นใหม่มอบตำแหน่งให้เป็น ‘แม่ยกแห่งชาติ’ หากไม่ถามเรื่องจุดยืนทางการเมืองก็คงจะเป็นเรื่องแปลก เธอเปิดใจว่า จริง ๆ ก็รู้สึกแปลกใจที่มีคนมาซัพพอร์ตเธอมากขนาดนี้ แต่เป็นเรื่องแปลกที่ดี แต่ไม่รู้จะไปห้ามเขายังไง ซึ่งประเด็นไม่อยู่ที่ว่าใครเป็นแม่ยก หรือเขามาชอบอะไรเป็นการส่วนตัว แต่มันอยู่ที่ทัศนคติที่น้องเขาเห็นด้วยกับตนเองมากกว่า โดยเธอเองก็ยอมรับว่ากระแสในทวิตเตอร์มีความรุนแรงมาก เพราะมัน Global บางคนอาจมองว่าไม่มีอะไร เก่งแค่ในทวิตปั่นแฮชแท็ก แต่คนมันไม่ลืมสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้ว มันก็เกิดอยู่อย่างนั้น แม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชั่วข้ามคืนก็ตาม

“ถามว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ ทรายไปปลุกระดมน้อง ๆ เหรอ ก็เปล่า น้องเขาก็โตขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ เด็กมันโตขึ้นทุกวันอยู่แล้ว มันคือเรื่องของโลกอนาคต คือโลกมันไปข้างหน้าเสมอ และเราก็ไม่มีวันเดาได้ เพียงแต่ว่าวันนี้เด็ก ๆ หลายคนรู้สึกว่าเขามีสิทธิ์ที่จะกำหนดอนาคตของเขาเองแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกเสพสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขามีสิทธิ์ที่จะเลือกฟังคนที่เขาสนใจแล้ว และเขาก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ซื้อหรือไม่สนับสนุนคำตอบบางแบบไปแล้ว”

จุดที่ทำให้ตัดสินใจเข้ามาสนับสนุน ทรายบอกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ตั้งใจ และยืนยันว่าไม่ได้จัดตั้งขึ้นมา แค่รู้สึกมองย้อนไปในอดีตช่วง 10 กว่าปีก่อน ที่เธอออกมาประกาศจุดยืนทางการเมืองอย่างชัดเจน ช่วงเวลานั้นไม่มีใครซัพพอร์ตเลย มาเดี่ยวมาก ๆ หันไปก็ไม่เจอใคร และส่วนใหญ่ผู้ใหญ่ก็ไม่ได้เข้าใจกับสิ่งที่เธอคิด ทำให้รู้สึกว่ามันหนักและโดดเดี่ยวเหมือนกัน จะพูดต่อก็ไม่มีใครสนับสนุน จึงรู้สึกแค่ว่าถ้าน้อง ๆ ในวันนี้ เป็นวัยเดียวกับเราในตอนนั้น เขาหันมาแล้วมีคนคอยดูแลอยู่ หันมาก็ยังเจอคนที่เข้าใจเป็นทีมเดียวกัน ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ เพราะการสนับสนุนมันเป็นพลังอย่างหนึ่งเหมือนกัน

“จริง ๆ มันเริ่มจากแค่นี้เลย ไม่ว่าหนูจะไปชูสามนิ้ว จะไปผูกโบว์ หรือจะอะไร หนูหันมาก็ยังมีข้าวให้กิน ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวดูแลเอง คือคิดเริ่มจากแค่นั้นเองง่าย ๆ เงินก็เป็นเงินส่วนตัว ที่ได้จากทำมาหากินมา ขายเสื้อยืดมา และเงินที่ได้จากคดีฟ้องร้องไม่รู้จะเอาไปทำอะไรกับมันดี เลยเอาไปช่วยสนับสนุนน้อง ๆ”

“ดังนั้น พอมีคนเห็นมาก ๆ ขึ้น ก็มีคนอยากจะช่วยสนับสนุนด้วย คือเราไม่รู้ว่า คำว่า ท่อน้ำเลี้ยง มันกลายเป็นอะไรที่ดูการเมืองมาก ๆ ทุกคนก็เลยพยายามจะหาทางเลี่ยงที่จะเรียกตัวเองว่าให้เป็นสายซัพพอร์ตกันมากกว่า ที่ได้ช่วยสนับสนุนไปแล้ว ก็เป็นเครื่องสาธารณูปโภค เช่น ขนม ไอศกรีม ข้าว 3 มื้อ น้ำชากาแฟ เครื่องดื่ม ห้องสุขา มอเตอร์โฮม ซึ่งต้องบอกก่อนว่า หนึ่งมันไม่ได้แพงมากขนาดที่จะบริหารไม่ได้  สองซัพพลายเออร์บางคนพอรู้ว่าจะเอาไปช่วยน้องๆ ก็ลดราคากันมาก และสาม จากการที่ทำงานกองถ่ายหนัง-ละครมาทั้งชีวิต เราก็นึกถึงการรันโปรดักชั่นอย่างอื่นไม่ออก นอกจากสิ่งพื้นฐานพวกนี้”

ผู้สัมภาษณ์ถามตรง ๆ กับทราย ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีกลุ่มทุนหรือกลุ่มการเมืองอยู่เบื้องหลังการซัพพอร์ตครั้งนี้หรือไม่ ทราย ยืนยันว่าไม่มีกลุ่มทุนหรือกลุ่มการเมืองใดเข้ามาเกี่ยวข้องแน่นอน พร้อมโชว์หลักฐานการโอนเงินเข้าบัญชีหลักสิบบาทจนถึงหลักพันจากเด็ก ๆ ไปจนถึงวัยทำงานที่ประสงค์อยากช่วยสนับสนุน

“ทรายรู้สึกว่าคนที่มองเข้ามาแล้วจะต้องมีกลุ่มทุนเท่านั้น เรารู้สึกว่าเขาประเมินใจของคนทั่ว ๆ ไป น้อยเกินไปหน่อย มันไม่มีหรอกค่ะกลุ่มทุนหนุนหลัง ถ้ามีก็คงจะดีทรายก็คงไม่ต้องออกมาทำ เหนื่อยอะไรแบบนี้ พี่เอาเครดิตไปเลย อยากให้พี่ได้เครดิตมาก ๆ”

“อยากให้ดูมากเลยว่า คนที่ช่วยเข้ามาส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก ๆ ถ้าโตแล้วก็จะมีกลุ่มเพิ่งเริ่มทำงาน ก็จะมีโอนมา 24 บาท 10 บาท 15 บาท คือเงินจะมากจะน้อยก็เป็นเงินทั้งนั้น และก็เป็นเงินน้ำพักน้ำแรงของเขา สิ่งที่เราลงรูปไม่ใช่ว่าจะอวดหรืออะไร แต่แค่อยากจะบอก 10 บาทของหนูมันอยู่ในนี้ ถ้าจะมีก็เป็นกลุ่มน้องๆ ออกตังค์กันไปซื้อหมู เพื่อมาทำแคปหมู หรือมีน้องๆ รวบรวมเงินในห้องเรียนกันมา อย่างนี้เราจะเรียกว่ากลุ่มทุนเหรอ”

นอกจากนี้ ทรายยังมองว่า การออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่กระจายจากเมืองหลวงสู่ต่างจังหวัด เกิดทางแรงกดดันและการไม่ได้รับความยุติธรรมที่สะสมมานานและรอวันแก้ไข โดยเฉพาะการแสดงออกของเด็กต่างจังหวัดจะต้องใช้ความกล้าหาญเป็นอย่างมากกว่าเด็กในเมืองหลวง

“เด็กต่างจังหวัดต้องกล้ามาก ๆ จะทำอะไรก็รู้กันทั้งหมู่บ้าน มีแรงกดดันสูง แสดงว่าสิ่งที่เขาเจอมันหนักกว่าแรงกดดันเหล่านี้ เช่น การที่เขาถามแล้วไม่ได้รับคำตอบ การไม่ได้รับความเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ คือคำถามเหล่านี้พอไม่ได้รับคำตอบอย่างใส่ใจจริง ๆ หากจะตอบว่าเพราะเขาทำกันมา เด็กมันไม่ซื้อแล้ว”

ทราย มองว่ามันเป็นสิ่งที่น่าคิดว่าอะไรทำให้เด็กรู้สึกว่ามันอยู่เฉยไม่ได้ ได้ขนาดนี้ คือเขาต้องโดนอะไรกันมามาก ซึ่งอย่าลืมว่าโลกของเด็กก็คือบ้านกับโรงเรียน เขาไม่ได้พื้นที่ทางสาธารณะให้ไปสนุก ไม่ได้มีพิพิธภัณฑ์ ไม่ได้มี art space อะไรมากมาย ทุกอย่างต้องเข้ามากรุงเทพฯ หมด ที่น่าสนใจก็คือระหว่างบ้านกับโรงเรียนมันยังมีกติกา ที่ทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเองมากขนาดที่เขาต้องออกมาเรียกร้อง

ขณะที่โลกในทวิตเตอร์ หรือที่คนทั่วไปรู้สึกว่าไม่ใช่โลกความเป็นจริง แต่มันคือโลกจริงๆ ของเขา เขาก็มีเพื่อนจากในตรงนั้น และเขาก็คุยกันเรื่องแบบนี้จริงจัง หลายคนอาจจะรู้สึกว่ามันฉาบฉวย บางคนก็ไล่เด็กไปอ่านหนังสือ หลาย ๆ ซึ่งเราไม่สามารถเอาเรื่องในวัยของเราไปเทียบกับเด็กไม่ได้แล้ว มันเป็นโลกคนละใบกันแล้ว เขาก็พยายามออกเดินทางด้วยสื่อต่างๆ ดังนั้นมันเลยไม่จำกัดวัย ถ้าเริ่มอ่านหนังสือออก ใช้ทวิตเตอร์เป็น ใช้ทวิตเตอร์เป็น คือเข้าใจ อ่านได้หมด ดังนั้นในพื้นที่ที่เขามีน้อยก็สามารถวิเคราะห์ได้

ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวทางการของคนรุ่นใหม่ มีความแตกต่างจากหลายม็อบที่เคยผ่านมา จากที่เคยรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ คืออายุ 30 ปีขึ้นไป วัยทำงาน แต่ยุคนี้เด็กเขาเห็นถึงความไม่ปกติ ไม่ถูกต้องมากขึ้น ก็เลยออกมาส่งเสียง ซึ่งก็เป็นในแบบวิธีของเขา ไม่ใช่แบบที่เราเคยเห็นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองก่อนๆ นี้มาเลย เขาจะมีรูปแบบของเขาทั้งการปั่นแฮชแท็ก จะอยู่ในทวิตเตอร์กัน ส่งข่าวผ่านการเขียนคิวอาร์โค้ด มันเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนอาจยังทำความเข้าใจไม่ได้ เลยไม่พยายามทำความเข้าใจไปเลย เลยไปรู้สึกว่าเด็กทำอะไรก็ไม่รู้ หรือคิดว่ามีคนอยู่เบื้องหลัง

ทราย ประเมินว่า สถานการณ์หลังจากนี้จะเข้มข้นขึ้น ทั้งข้อเรียกร้องและความเคลื่อนไหว ซึ่งต้องทำไปสองทางพร้อม ๆ กัน ทั้งทิศทางในสภาและนอกสภา แต่สิ่งที่เหมือน ๆ กัน นั่นคือเป็นเสียงของประชาชน

“ไม่ได้หมายความว่า ดีดนิ้วปุ๊บจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ความรุนแรงมันถูกสะสมมาเรื่อยๆ แล้ว เด็กที่เรียกร้องวันนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดเมื่อวาน มันก็สะสมมาเหมือนกัน ดังนั้นน้อง ๆ บางคนไม่มีใครอยากจะลุกขึ้นมาใช้ความรุนแรงกับใคร แต่ตอนนี้เขารู้ว่าเขามีอำนาจ เขาโดนนับว่าเป็นประชาชนคนหนึ่งเหมือนกัน เขาก็เสียภาษีเหมือนกัน หนูโดนหักไปตอนซื้อขนมก็เงินหนู ถึงแม้จะใครมองว่าน้อย แต่มันก็เงิน 1-2 บาทก็เงิน”

“เวลาคนมันตื่นแล้ว มันผลักกลับไปไม่ได้”  ทราย กล่าว

ทราย เจริญปุระ ในวันนี้ กับในช่วงที่ต้องผ่านมรสุมทางการเมืองมาอย่างสะบักสะบอม เธอเผยว่า เคยได้รับแรงกดดันและถูกแบนมาก่อน มีหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เสียใจแต่ก็มองว่ามันเป็นการยืนคนละจุด มองจากคนละมุม คนเรามีสิทธิ์ที่จะเถียงกัน หรือคิดต่างกันได้ ส่วนกรณีกระแสการแบนเพื่อนร่วมวงการในช่วงนี้ ทรายมองว่าเป็นเรื่องปกติ เป็นสิทธิของผู้บริโภคและผู้ชมที่จะติดตามหรือไม่ติดตามใครก็ได้

“อย่าลืมว่าทรายเอง หรือนักแสดงบางคนก็โดนคนไม่ซื้อมาก่อน การที่ทรายไม่ได้พูด มันไม่ได้หมายความว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง เพียงแต่วันนี้พอมีคนพูดแล้ว แต่มันเป็นเรื่องที่มันเกิดขึ้นมาตลอดอยู่แล้ว”

“ตอนที่ออกมาในยุคนั้นก็เด่นเชียว เคยโดนห้ามตลอด แต่ก็มานั่งถามตัวเองว่าแล้วทำอะไรผิด คือหมายความผิดโดยหลักการ ฆ่าคนรึเปล่า ขโมยของรึเปล่า ผิดศีล 5 รึเปล่า ซึ่งเขาก็ไม่ค่อยถูกใจในคำตอบของเรา แต่ก็เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะไม่ถูกใจ แต่จะมาบอกว่าคำตอบเราผิด เราต้องตอบใหม่ มันก็ไม่ได้ ส่วนใครจะเชื่ออะไร ทรายก็ไม่เคยจะไปวุ่นวายกับใครน่ะ แต่ถ้ามีคนถามเราก็จะบอกว่าเราเชื่อแบบนี้ แค่นั้นเอง เพราะฉะนั้นจะโดนอยู่ตลอด ไม่ถามก็ดุ ไม่ดุก็เตือน ไม่ก็บอกผิดหวังในตัวเรา โดนมาหมดแหละ เคยไปคอมเม้นต์ในรูปของเพื่อนนักแสดง แล้วมีคนมาบอกให้คนนั้นลบคอมเม้นต์ไป เขาก็คงไม่อยากให้เราเข้าไปรกหูรกตา ก็ไม่เป็นไร คือเจ็บไหม มันก็เจ็บ แต่ถามว่ามานั่งแค้นเคืองไหม มันก็ไม่ขนาดนั้น จนทุกวันนี้ไม่กล้าเม้นต์ในไอจีใครเลย กลัวทำเขาแปดเปื้อนมีปัญหา มีแค่คนที่คุยกันประจำซึ่งเขาจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับเรา”

“ทุกคนมีจุดยืน มีราคาที่ต้องจ่ายกันทั้งนั้น ทรายว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ ไม่ใช่แค่ดาราที่โดนแบนชีวิตเขามีคุณค่า ทุกคนก็มีคุณค่า ชีวิตของทุกคนก็มีคุณค่า มีราคากันทั้งนั้น มันไม่ใครไม่เสียอะไรเลย ทุกคนอาจจะต้องเสียเพื่อนบ้าง งอนกับแม่บ้างหรืออะไรก็ตาม ซึ่งของแบบนี้มันตีเป็นมูลค่าตลอดเวลาไม่ได้หรอก”

ทรายย้ำว่า มันคือจุดยืนคนละจุด การมองต่างถูกต้องแล้ว การคิดไม่เหมือนกัน การเถียงกัน คือปกติมาก ๆ หรือว่าการจะไม่ซัพพอร์ตกันมันก็เป็นเรื่องปกติมาก ๆ เพียงแค่ว่าเราอาจจะไม่ค่อยชินกับการถกเถียง หรือว่าอะไรอย่างนี้ที่เป็นการถกเถียงในเชิงเหตุผลส่วนใหญ่

เช่นเดียวกับการแบนสินค้าบางแบรนด์ ก็เป็นสิทธิผู้บริโภค ก่อนหน้านี้ก็มีคนไม่ซื้อเสื้อผ้าบางแบรนด์ที่ใช้แรงงานเด็ก ซึ่งคนถือเงินในมือมีสิทธิ์ที่จะแสดงออกว่าเลือกที่จะใช้บริการใคร เลือกซื้อของใคร เสื้อผ้าในโลกก็มีหลายแบรนด์ พอมันเป็นสิทธิผู้บริโภคก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สิ่งที่คนรู้สึกว่ามันรุนแรงคือสิ่งที่ออกมาพูดเหตุผลว่าไม่สนับสนุนเพราะอะไร

การออกมาเปิดหน้าแสดงตัวเป็นผู้สนับสนุนม็อบ เธอยอมรับว่า ทำให้เธอได้รับคำเตือนจากหลายคนอีกครั้ง เพราะคิดว่าการเมืองก็ยังเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับคนบางกลุ่ม ซึ่งเธอเข้าใจว่าทำไมเขากลัว เพราะว่าหลาย ๆ ครั้ง เรื่องของการพูดในสิทธิของตัวเอง หรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมืองมันนำไปสู่ความรุนแรงบางอย่าง ก็เข้าใจความเป็นห่วงต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ในเมื่อทุกคนกลัว เพราะมันไม่มีใครเปิดหน้าพูด เราก็ต้องเริ่มเป็นคนเปิด เปิดให้มันเป็นปกติให้ได้

ช่วงท้ายของการสนทนา ทราย ยอมรับว่า วัยรุ่นเป็นพลังงานที่ดีทำให้บรรยากาศในสังคมมีความหวัง และอยากให้ผู้มีอำนาจได้ลองฟังเสียงประชาชนจริง ๆ เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่คนอยากได้คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีเท่านั้นเอง

“อยากให้ได้ลองฟังเสียงประชาชนจริง ๆ ลองฟังเสียงคนที่ต้องตื่นตี 5 ไปต่อวินมอเตอร์ไซด์รับจ้าง ขึ้นรถไฟฟ้าและก็ต่อวินอีกที เพื่อจะไปทำงานอะไรแบบนี้ วันหนึ่งคุณทำไหว สองวันคุณทำไหว เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง แล้วเด็ก ๆ ที่ต้องทำอยู่แบบนี้ตั้งแต่ ป.1- ป.6 เข้า ม.1-ม.6 จนเริ่มเรียนมหาลัย จนไปทำงานก็ยังมีชีวิตอย่างนี้กันอยู่ เขาเห็นเส้นทางนี้ทุกวัน คุณต้องฟังเขาบ้างว่าเขารู้สึกยังไงกับมัน อยากให้อะไรมันเปลี่ยนแปลงบ้าง สิ่งที่ขาดหายไปมาก ๆ คือ การฟังอย่างจริง ๆ และให้คำตอบอย่างจริงจัง มันจะช่วยลดอุณหภูมิบางอย่างได้มาก ไม่ใช่ไม่ฟัง และไม่ให้พูดเพราะเราโตกว่า มันก็ไม่เงียบไป เพราะสุดท้ายแล้ว สิ่งที่คนอยากได้คือการมีคุณภาพชีวิตที่ดี”

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า