ตลาดหุ้นไทยนับตั้งแต่ต้นปี 2567 จนถึงปัจจุบัน ( ณ 20 ส.ค. 67) มีผลงานรั้งท้ายสุดในตลาดหุ้นเอเชียทั้งหมด
หากเปรียบเทียบผลตอบแทนบนสกุลเงินท้องถิ่น โดยให้ผลตอบแทนอยู่ที่ -6.1% เมื่อเทียบตลาดหุ้นในเอเชียที่มีผลตอบแทนมากกว่า 10% ขึ้นไป
โดยตลาดหุ้นไต้หวันให้ผลตอบแทนสูงสุด +25%, ญี่ปุ่น +14% และเวียดนาม (VN30) +15% ขณะที่ตลาดหุ้นจีน -3.6%
‘ชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ’ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) บอกว่า ตลาดหุ้นไทยทำผลงานไม่ค่อยดี (Underperform) ต่อเนื่อง 2 ปีติดโดยในช่วงกลางปีที่ผ่านมา ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า 10-12%
สาเหตุมาจากกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่โตต่ำกว่าคาด ในช่วงครึ่งปีแรกออกมาขยายตัวเพียง 3% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเป้าหมายทั้งปีที่คาดจะโต 14%
ผลก็มาจากการเบิกจ่ายเงินงบประมาณของภาครัฐที่เพิ่งออกมาเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา รวมทั้งรัฐบาลยังโฟกัสอยู่ที่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตเป็นหลัก ขณะที่ยังมีปัญหาอีกหลายเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขทั้งเรื่องสินค้าราคาต่ำของจีนทะลักเข้าไทย ทำให้ธุรกิจ SME ของไทยมีปัญหา
ส่วนการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทย ต้องอาศัย 3 ปัจจัย คือ 1. ภาวะเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียน 2. เม็ดเงินในระบบที่พร้อมจะสนับสนุนตลาด และ 3. ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซึ่งไทยยังคาดปัจจัจเหล่านี้อยู่ทำให้ผลตอบแทนไม่ค่อยเติบโต
ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปี 67 ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ประเมินดัชนีมีอัพไซด์ค่อนข้างน้อย จึงได้ปรับลดเป้าหมายปลายปีนี้ลงมาที่ระดับ 1,396 จุด จากเดิมที่ระดับ 1,466 จุด
ทั้งนี้ ซื้อขายบน Forward P/E 15.60 เท่า และคาดกำไรบจ.รวมเติบโต 7.5% (EPS Growth) รวมถึงคาดหวังกองทุนวายุภักษ์ระดมทุนได้แตะ 1 แสนล้านบาทแล้ว
แม้แนวโน้มกำไรบจ.ครึ่งปีหลังจะได้ประโยชน์จากท่องเที่ยวและส่งออกแต่กลุ่ม Domestic ยังคงต้องพึ่งพิง Demand ภายในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าเป็นหลัก เช่น ธุรกิจก่อสร้าง อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย สื่อโฆษณา และการเงินเพื่อการบริโภค ที่ภาพรวมยังดูไม่ค่อยดี
ทั้งนี้ เป้าหมายดัชนีปลายปี 2567 ยังไม่ได้รวมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ซึ่งยังต้องติดตามข่าวการปรับเปลี่ยนการแจกเป็นเงินสด คาดว่าจะเกิดขึ้นปลายปีนี
เบื้องต้นมีมุมมองว่าการแจกเงินสดเป็นการเติมเงินเข้าระบบที่จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น ซึ่งอาจช่วยกระตุ้นให้ GDP เพิ่มขึ้นได้ 0.3% จากที่คาดการณ์ GDP ปีนี้ที่ระดับ 2.6%
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปีนี้ แนะนำจัดพอร์ตลงทุนแบบตั้งรับอย่างเต็มตัวเพื่อตั้งการ์ดรับมือกับแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหลายประเทศคู่ค้าของไทยที่เติบโตชะลอตัว รวมถึงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกและสินทรัพย์ต่างๆ เกิดความผันผวนได้
ล่าสุด ทีมวิจัยหลักทรัพย์ฯ ได้ปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่สัดส่วน 20% จากต้นปี 2567 ที่อยู่ราว 60-80% และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในสัดส่วน 80%
ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้น ตลาดหุ้นเวียดนาม แนะนำให้ลดน้ำหนักการลงทุนจาก 13% เป็น 9% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จาก 12% เป็น 6% ตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่นแนะขายไปก่อนหน้ายังไม่ให้น้ำหนักลงทุน ส่วนหุ้นไทยให้น้ำหนักการลงทุนสัดส่วนต่ำ 2% ของพอร์ตรวม