Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

ทางการอิตาลี เปิดเผยข้อมูลวานนี้ (24 มี.ค) ว่า พบผู้เสียชีวิตจากไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ ต้นตอของโควิด-19 เพิ่มขึ้นสูงถึง 743 คนในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา นับเป็นสถิติรายวันที่สูงที่สุดอันดับ 2 ของอิตาลี ตั้งแต่การระบาดเริ่มขึ้น ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดเพิ่มเป็น 6,820 คน ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 69,176 คน หรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตที่ร้อยละ 9.85

ตัวเลขที่พุ่งสูงจนน่าตกใจ ทำให้อิตาลีเป็นประเทศที่ถูกจับตามองมากที่สุดในขณะนี้ หลังจำนวนผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 แซงหน้าจีนแล้ว และมีแนวโน้มสูงกว่าทั้งผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตจะสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และเพื่อหาสาเหตุว่าอะไรที่นอกเหนือจากไวรัสร้ายที่ยังไม่มียาหรือวัคซีนรักษา ที่ทำให้อิตาลีต้องเผชิญโศกนาฏกรรม เว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์ ได้เผยแพร่บทความที่ชี้ให้เห็นว่า อะไรกันแน่ที่ทำให้อิตาลีเดินทางมาถึงจุดนี้ได้

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 27 ก.พ. ที่ผ่านมา นายนิโกลา ซินกาเร็ตตี หัวหน้าพรรคประชาธิปไตย พรรครัฐบาลอิตาลี ได้โพสต์ภาพที่เขากำลังชนแก้วในช่วงการจิบเครื่องดื่มยามบ่าย หรือ aperitivo ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการดื่มหลังเลิกงานของชาวอิตาเลียน ที่เมืองมิลาน พร้อมเรียกร้องให้ประชาชน “อย่าเปลี่ยนนิสัย”

ในอีก 10 วันต่อมา นายซินกาเร็ตตี ได้โพสต์วิดีโอเพื่อแจ้งว่า ตอนนี้เขาติดเชื้อไวรัสโคโรนาแล้ว

รัฐบาลได้ส่งกำลังทหารเข้าไปดูแลความสงบเรียบร้อยในระหว่างการล็อคดาวน์แคว้นลอมบาร์ดี และพื้นที่ทุกแห่งทั่วประเทศ พร้อมสั่งห้ามการออกมาทำกิจกรรมต่างๆ นอกบ้าน ที่รวมถึงการเดินหรือวิ่งจ็อกกิ้งที่ไกลจากที่พัก

เมื่อวันที่ 21 มี.ค. นายกรัฐมนตรีจูเซปเป คอนเต ของอิตาลี ออกประกาศเพิ่มมาตรการต่อสู้กับการระบาดของโควิด-19 ที่เขากล่าวว่าเป็นวิกฤตครั้งรุนแรงที่สุดของประเทศนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยการออกคำสั่งให้ปิดโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมด ยกเว้นโรงงานอุตสาหกรรมที่ผลิตสิ่งของจำเป็นสำหรับการยังชีพ รวมถึงซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา บริการขนส่งสาธารณะ ธนาคาร และไปรษณีย์

โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับอิตาลี เป็นเสมือนคำเตือนไปยังชาติต่างๆ ในยุโรปและสหรัฐฯ ที่จำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ หากจะมีสิ่งใดที่เกิดขึ้นในอิตาลีที่จะเป็นบทเรียนให้แก่ประเทศต่างๆ ได้ ก็อาจเป็นมาตรการกักตัวในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด และการจำกัดการเคลื่อนที่ของประชากรที่ควรมีการบังคับใช้ตั้งแต่เนิ่นๆ มีความชัดเจน และเข้มงวด

แม้ตอนนี้อิตาลีจะมีมาตรการที่เข้มงวดมากที่สุดในโลก แต่ในช่วงแรกของการระบาด มาตรการต่างๆ ยังคงบังคับใช้แบบหลวมๆ เนื่องจากรัฐบาลยังคงคำนึงถึงสิทธิพลเมืองขั้นพื้นฐานและสภาพเศรษฐกิจมากกว่า

มาตรการของอิตาลีที่ดำเนินไปอย่างช้าๆ นับตั้งแต่การประกาศปิดเมือง จนมาถึงปิดแคว้น และท้ายสุดคือปิดประเทศ เจ้าหน้าที่บางคนไม่กล้าแม้จะคิดหามาตรการที่ฉีกออกไป และลังเลที่จะตัดสินใจใช้มาตรการบางอย่างที่อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ประชาชน ท้ายที่สุดก็ไม่สามารถวิ่งทันการระบาดที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วได้

นางซานดรา แซมปา ปลัดกระทรวงสาธารณสุขอิตาลี กล่าวว่า แม้จะทำดีที่สุดแล้ว ด้วยการปิดประเทศ แต่เราก็ยังคงวิ่งตามหลังการระบาด เพราะไวรัสไม่ยินยอมให้เราได้ใช้ชีวิตอย่างปกติ

รัฐบาลของหลายประเทศอาจมีแนวโน้มที่จะเดินตามรอยเท้าของอิตาลี และปล่อยให้ความเสียหายเกิดขึ้นซ้ำรอยด้วยการตัดสินใจผิดพลาด และพวกเขาอาจไม่เหลืออะไรให้แก้ตัวได้อีก

เจ้าหน้าที่อิตาลีบางคนออกมากปกป้องการตัดสินใจของตนว่า วิกฤตโรคระบาดครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนยุคสมัยใหม่ และเสริมว่ารัฐบาลสามารถตอบสนองต่อวิกฤตครั้งนี้ได้อย่างรวดเร็วและสุดความสามารถ และปฏิบัติตามตามคำแนะนำของนักวิทยาศาสตร์อย่างรวดเร็ว และเชื่อว่าตนดำเนินมาตรการที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศใดๆ ในยุโรป

แต่จากการติดตามผลของการดำเนินมาตรการของรัฐบาลพบว่า ได้เกิดความผิดพลาดร้ายแรงและส่งผลให้ประเทศต้องเสียโอกาสต่างๆ มากมาย

ในการตอบสนองต่อเสียงวิจารณ์ในช่วงแรกของการระบาด นายกฯ อิตาลี และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาล พยายามเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการสร้างความสับสน และสร้างการรับรู้ถึงความปลอดภัยในแบบผิดๆ ให้แก่ประชาชน จนทำให้ไวรัสระบาด

รัฐบาลกล่าวโทษว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศ ที่พบหลังการตรวจคัดกรองประชาชนที่ไม่แสดงอาการ จะยิ่งสร้างความรู้สึกหวาดกลัวโดยใช่เหตุ และทำลายภาพลักษณ์ของอิตาลีในสายตาต่างประเทศ

และแม้กระทั่งเมื่อรัฐบาลนำมาตรการปิดประเทศมาใช้เพื่อต่อสู้กับการระบาด พวกเขากลับล้มเหลวในการสื่อสารให้เห็นถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนปฏิบัติตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งดูเหมือนจะเต็มไปด้วยช่องโหว่มากมาย

นายวอลเตอร์ ริชชิอาดี สมาชิกคณะกรรมการองค์การอนามัยโลก และที่ปรึกษาระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขอิตาลี ซึ่งเคยกล่าวแย้งว่า รัฐบาลอิตาลีดำเนินมาตรการโดยอิงจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ กล่าวว่า สิ่งต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่ายในประเทศประชาธิปไตยเสรีนิยมอย่างอิตาลี

เขากล่าวว่า รัฐบาลดำเนินมาตรการอย่างรวดเร็วและจริงจังมากกว่าประเทศอื่นในยุโรปและสหรัฐฯ แต่เขาทราบดีว่า กระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถชักจูงให้กระทรวงอื่นๆ ทำตามอย่างได้ และความยุ่งยากในการในควบคุมหลักการแบ่งแยกอำนาจระหว่างรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น ยังนำไปสู่ความแตกแยกในสายการบังคับบัญชา และสารที่มีความขัดแย้งกันเอง

“ในช่วงสงครามหรือโรคระบาด ระบบดังกล่าวยิ่งก่อให้เกิดปัญหาที่รุนแรง ที่อาจทำให้การบังคับใช้มาตรการที่มีความเข้มงวด ต้องล่าช้าอกไป”

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 21 ม.ค. ในขณะที่ทางการจีนได้กล่าวเตือนผู้ที่พยายามปกปิดการติดเชื้อไวรัสว่า “คนเหล่านั้นจะถูกตรึงไว้ที่เสาแห่งความอับอายชั่วนิรันดร์” แต่รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวของอิตาลี กลับจัดงานคอนเสิร์ตเพื่อรับรองผู้แทนจากจีน ที่สถาบันดนตรีในกรุงโรม เพื่อเฉลองปีแห่งความสัมพันธ์ด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ

นายมิเชล เจอราชี อดีตปลัดกระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งได้ร่วมในงานครั้งนั้นด้วยกลับแสดงความไม่แน่ใจว่า ทุกคนควรมาร่วมงานนี้หรือไม่ แต่เมื่อมองถึงเรื่องประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว เจ้าหน้าที่หลายคนบอกว่า “ไม่เป็นไร”

นางซานดรา แซมปา กล่าวว่า หากย้อนกลับไปได้ เธอควรจะยุติทุกอย่างลงในทันที แต่ในตอนนั้นมันอาจจะไม่ชัดเจนมากนักว่าควรทำหรือไม่

สิ่งที่นักการเมืองกังวลคือเรื่องเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศ และเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับความอ่อนแอของตนในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับไวรัส

นางแซมปา กล่าวว่า อิตาลีไม่ได้มองสิ่งที่เกิดขึ้นในจีนว่านั่นคือคำเตือน แต่มองว่านั่นเป็นเพียงภาพยนตร์ไซ-ไฟ ที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอิตาลี และเมื่อไวรัสระบาด ยุโรปกลับมองอิตาลีเช่นเดียวกับที่อิตาลีมองจีน

เมื่อเดือนมกราคม นักการเมืองฝ่ายขวาบางคนได้เรียกร้องให้นายคอนเต นายกฯ อิตาลี กักตัวนักเรียนในภาคเหนือ ที่เดินทางกลับจากการพักผ่อนในจีน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดในโรงเรียน เนื่องจากเด็กส่วนใหญ่มาจากครอบครัวผู้อพยพชาวจีน

นักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมวิจารณ์ข้อเสนอดังกล่าวว่าจะสร้างความตื่นตระหนก นายคอนเตปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว และตอบว่า ผู้ว่าราชการของแคว้นทางเหนือควรเชื่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ด้านการศึกษาและสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม นายคอนเตก็ดูเหมือนจะมองเห็นภัยคุกคามขอการระบาด และประกาศห้ามเที่ยวบินจากจีนเดินทางเข้าประเทศ เมื่อวันที่ 30 ม.ค.

 

ผู้ป่วยหมายเลข 1: ซูเปอร์สเปรดเดอร์

ผู้ป่วยชายวัย 38 ปีรายหนึ่ง เดินทางไปยังห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลในเมืองโคโดญโญ่ ในจังหวัดโลดี ด้วยอาการไข้หวัดรุนแรง เมื่อวันที่ 18 ก.พ. แต่ผู้ป่วยปฏิเสธการนอนโรงพยาบาลและกลับบ้าน ต่อมาเขามีอาการรุนแรงขึ้น และกลับมาโรงพยาบาลในอีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา และรักษาตัวในห้องผู้ป่วยทั่วไป ต่อมาวันที่ 20 ก.พ. เขาเข้าห้องไอซียู และผลตรวจพบเชื้อไวรัสโคโรนาเป็นบวก

ผู้ป่วยหมายเลข 1 รายนี้ เคยร่วมรับประทานอาหารเย็นอย่างน้อย 3 ครั้ง เล่นฟุตบอล และวิ่งร่วมกับคนอื่นๆ โดยไม่แสดงอาการรุนแรงใดๆ

นายวอลเตอร์ ริชชิอาดี กล่าวว่าอิตาลีโชคร้ายที่พบซูเปอร์สเปรดเดอร์ ในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญที่มีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น ที่ไปโรงพยาบาลถึง 2 ครั้ง ทำให้มีผู้ติดเชื้อหลายร้อยคนที่รวมถึงแพทย์และพยาบาล

อย่างไรก็ตาม ชายคนดังกล่าวไม่เคยเดินทางไปจีนหรือติดต่อโดยตรงกับชาวจีน ทำให้สงสัยว่าเขาอาจติดมาจากชาวยุโรป ซึ่งหมายความว่า อิตาลีไม่มีผู้ป่วยรายแรกที่สามารถระบุตัวได้จริงๆ หรือแหล่งต้นทางการระบาด ที่อาจช่วยให้สามารถควบคุมการแพร่เชื้อได้

เชื้อไวรัสแพร่กระจายไปทั่วแคว้นลอมบาร์ดี ซึ่งเป็นเขตที่มีการทำการค้ามากกับจีนมากที่สุด และเป็นที่ตั้งของเมืองมิลาน เมืองธุรกิจและศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศ

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ การระบาดเริ่มรุนแรงมากขึ้น ทำให้เทศกาลคาร์นิวัลในเมืองเวนิสต้องยกเลิก แคว้นลอมบาร์ดีประกาศปิดโรงเรียน พิพิธภัณฑ์ โรงภาพยนตร์ ขณะที่ชาวเมืองมิลานแห่ไปกักตุนสินค้าตามซูเปอร์มาร์เก็ต

แม้นายคอนเต จะชื่นชมอิตาลีที่สามารถรับมือกับไวรัสได้อย่างดี แต่กลับกล่าวเหน็บแนมว่าการที่จำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากการตรวจคัดกรองของทางการแคว้นลอมบาร์ดีที่สามารถทำได้มากขึ้น

แต่ในวันต่อมา หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น และตลาดหุ้นดิ่งอย่างรุนแรง เขากล่าวโทษโรงพยาบาลในเมืองโคโดญโญ่ว่า ไม่สามารถจัดการสิ่งต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงตำหนิแคว้นลอมบาร์ดี, เวเนโต้ และแคว้นอื่นๆ ทางภาคเหนือว่า ทำให้ปัญหารุนแรงขึ้น ด้วยการไม่ทำตามแนวทางปฏิบัติของทั่วโลก และตรวจหาเชื้อให้กับคนที่ไม่แสดงอาการ

ในขณะที่โรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีเตียงเพียงพอที่จะรองรับผู้ป่วยได้อีก และจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อยคน นายคอนเต กล่าวเมื่อวันที่ 25 ก.พ. ว่า “อิตาลีเป็นประเทศที่ปลอดภัย และอาจจะปลอดภัยมากกว่าประเทศอื่น”

การสื่อสารที่ไม่ชัดเจนยิ่งสร้างความสับสน

เมื่อวันที่ 27 ก.พ. นายนิโกลา ซินกาเร็ตตี หัวหน้าพรรคประชาธิปไตย พรรครัฐบาลอิตาลี ได้โพสต์ภาพที่เขากำลังชนแก้วในช่วงการจิบเครื่องดื่มยามบ่าย และในวันเดียวกันนั้น นายลุยจิ ดิ ไมโอ รัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวในการแถลงข่าวว่า “อิตาลีได้เปลี่ยนจากการะบาดของไวรัส มาเป็นการระบาดของข้อมูลข่าวสารผิดเพี้ยน หลังจากสื่อได้เสนอข่าวที่ชี้ให้เห็นภัยคุกคามของการระบาด และเสริมว่า มีเพียงร้อยละ 0.089 ของชาวอิตาเลียนเท่านั้นที่ถูกกักตัว

ด้านนายเบปเป้ ซาลา นายกเทศทนตรีเมืองมิลาน ได้ริเริ่มแคมเปญ “มิลานจะไม่หยุด” และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมมหาวิหารดูโอโมอีกครั้ง

แต่นายจิอาโคโม กราสเซลลี ผู้ประสานงานหน่วยอภิบาลในโรงพบาลทั่วแคว้นลอมบาร์ดี กลับพบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มสูงขึ้นมาก และโรงพยาบาลอาจไม่สามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้ทั้งหมด และได้แจ้งเรื่องนี้ต่อนายอัตติลิโอ ฟอนตานา ประธานคณะกรรมการบริหารแคว้นลอมบาร์ดี

นายฟอนตานา กล่าวว่า สารต่างๆ จากรัฐบาลกลางที่มีความสับสน รวมถึงมาตรการผ่อนปรนต่างๆ ทำให้ชาวอิตาเลียนเชื่อว่า ทุกอย่างเป็นเรื่องตลก และยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ และหลังจากการหารือร่วมกับนายกรัฐมนตรีและผู้นำแคว้นอื่นๆ เขากลับได้รับคำตอบว่า สถานการณ์ไม่ได้รุนแรงมากนัก และพวกเขาไม่ต้องการสร้างความเสียหายให้แก่เศรษฐกิจ

ในภายหลัง รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ ที่รวมถึงเงินช่วยเหลือกว่า 25,000 ล้านยูโร อย่างไรก็ตาม อิตาลีได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายที่เชื่อว่าการระบาดคือภัยคุกคาม และฝ่ายที่ไม่เชื่อ และหลังจากที่ทราบว่า ศูนย์กลางการระบาดทางภาคเหนือได้ขยายไปยังพื้นที่ในแคว้นเวเนโต้ นายคอนเตและรัฐมนตรีสาธารณสุข ได้ตัดสินใจประกาศปิดพื้นที่ส่วนใหญ่ทางภาคเหนือ และจำกัดการเคลื่อนที่ของประชากรอย่างเข้มงวด พร้อมประกาศว่า แลประเทศกำลังเผชิญกับภัยฉุกเฉินแห่งชาติ

ข้อมูลร่างพระราชบัญญัติการปิดแคว้น ซึ่งรั่วไหลไปยังสื่อของอิตาลี ส่งผลให้ชาวเมืองมิลานต่างเร่งไปที่สถานีรถไฟเมื่อเดือนทางออกจากพื้นที่จำนวนมาก ซึ่งอาจก่อให้เกิดกระแสการแพร่ระบาดที่ลุกลามไปยังพื้นที่ภาคใต้ แต่ถึงกระนั้น ชาวอิตาเลียนส่วนใหญ่ยังคงสับสนเกี่ยวกับคำประกาศดังกล่าว ทำให้รัฐมนตรีมหาดไทยต้องออกแบบฟอร์มที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางเข้าและออกจากพื้นที่ที่ถูกล็อคดาวน์ได้ เฉพาะเพื่อการทำงาน สุขภาพ และความจำเป็นอื่นๆ เท่านั้น

ในเวลาเดียวกัน ผู้นำแคว้นบางแห่งได้สังให้ประชาชนที่มาจากพื้นที่ล็อคดาวน์ ต้องกักตัวเอง แต่บางแคว้นกลับไม่มีคำสั่งอะไร ต่อมาเมื่อวันที่ 9 มี.ค. เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 10,000 คน นายคอนเตประกาศใช้มาตรการปิดประเทศ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า มันสายเกินไปแล้ว

 

ท้องถิ่นจัดการกันเอง

อิตาลียังคงต้องรับผลจากการสื่อสารที่ไม่ตรงกันของนักการเมืองและนักวิทยาศาสตร์ นายโรแบร์โต บูริโอนี นักไวรัสวิทยาจากมหาวิทยาลัยราฟาเอล ในเมืองมิลาน กล่าวว่า คนทั่วไปรู้สึกปลอดภัยในการทำกิจกรรมนอกบ้านตามปกติ และเขาเชื่อว่าการที่ผู้ติดเชื้อมีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ก็น่าจะเกิดจากสาเหตุนี้

รัฐบาลได้เรียกร้องให้เกิดความสามัคคีในชาติ ด้วยการปฏิบัติตามมาตรการที่เข้มงวดต่างๆ แต่ในภายหลัง ผู้นำท้องถิ่นหลายร้อยคนจากพื้นที่ประสบภัยได้แจ้งต่อรัฐบาลว่า มาตรการเหล่านั้นแทบใช้การไม่ได้

นายฟอนตานากล่าวว่า ทหารที่รัฐบาลส่งมาช่วยเหลือนั้นไม่เพียงพอ และรัฐบาลต้องดำเนินมาตรการต่างๆ อย่างจริงจังและเข้มงวด เช่นการชัตดาวน์ทุกอย่างตั้งแต่แรก เช่นเดียวกับนายลูก้า ซาเอีย ประธานคณะกรรมการแคว้นเวเนโต้ ที่กล่าวว่า รัฐบาลกลางควรดำเนินมาตรการกักตัวให้เข้มงวดมากกว่าที่เป็นอยู่ ที่รวมถึงการปิดสถานที่ทุกแห่ง และห้ามการทำกิจกรรมทุกประเภท ยกเว้นการเดินทางไปทำงานตามปกติ

คำสั่งดังกล่าวทำให้เมืองโว ในแคว้นเวเนโต้ หนึ่งในศูนย์กลางการระบาด ซึ่งพบผู้เสียชีวิตรายแรกของประเทศ มีจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมาก ที่ช่วยให้โรงพยาบาลต่างๆ ไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป นอกจากนั้น นายซาเอียยังสั่งให้มีการตรวจหาผู้ติดเชื้อแบบปูพรม ซึ่งขัดกับรัฐบาลที่แย้งว่า การตรวจหาเชื้อกับผู้ที่ไม่แสดงอาการเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า