‘ญี่ปุ่น’ ยืนยันพร้อมร่วมวง ‘สหรัฐฯ’ ระบายน้ำมันจากคลังสำรองเข้าตลาด สู้ศึกราคาน้ำมันแพง

ญี่ปุ่นร่วมวงสหรัฐฯ และชาติพันธมิตร ระบายน้ำมันจากคลังสำรองออกสู่ตลาดเพื่อสกัดราคาน้ำมันดิบพุ่ง 

วันที่ 24 พ.ย. 2564 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายฟูมิโอะ คิชิดะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวในวันนี้ว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะระบายน้ำมันบางส่วนออกจากคลังสำรอง เพื่อตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยจะดำเนินการตามแนวทางที่ไม่เป็นการละเมิดกฎหมายของประเทศ ซึ่งกำหนดไว้ว่า การระบายน้ำมันจากคลังสำรองจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีความเสี่ยงที่อุปทานน้ำมันจะเกิดภาวะชะงักงัน

นายคิชิดะกล่าวว่า “ที่ผ่านมา เราทำงานร่วมกับสหรัฐฯ เพื่อรักษาเสถียรสภาพของตลาดน้ำมันโลก และเราก็ได้ตัดสินใจที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการขายน้ำมันบางส่วนในคลังสำรองของเรา ซึ่งเราจะดำเนินการโดยที่ไม่ละเมิดกฎหมายการสำรองน้ำมันของญี่ปุ่นที่มีอยู่ในปัจจุบัน”

หนังสือพิมพ์เดอะเจแปนไทม์สรายงานว่า ความเคลื่อนไหวครั้งนี้นับเป็นการตัดสินใจปล่อยน้ำมันดิบจากคลังสำรองของญี่ปุ่นเพื่อตอบสนองต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกเป็นครั้งแรก โดยที่ผ่านมา ญี่ปุ่นจะดำเนินการในลักษณะนี้เพื่อรับมือกับปัญหาด้านอุปทานอันเนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติหรือสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในต่างประเทศ 

เดอะเจแปนไทม์สระบุว่า ครั้งล่าสุดที่มีการระบายออกจากคลังสำรองของญี่ปุ่นมีขึ้นในเดือนมิ.ย. 2554 จากคำร้องขอขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองในลิเบียกำลังวิกฤต 

คำยืนยันดังกล่าวของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นมีขึ้น หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐประกาศว่า สหรัฐจะระบายน้ำมันดิบ 50 ล้านบาร์เรลจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ (SPR) โดยจะร่วมมือกับจีน, อินเดีย, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และสหราชอาณาจักร เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบ หลังจากกลุ่มโอเปกพลัสปฏิเสธข้อเรียกร้องของสหรัฐที่ต้องการให้เพิ่มการผลิตน้ำมันมากกว่า 400,000 บาร์เรล/วัน

นอกจากญี่ปุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินเดียได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า อินเดียจะระบายน้ำมันจำนวน 5 ล้านบาร์เรลออกจากคลังสำรอง เช่นเดียวกับรัฐบาลอังกฤษที่ออกมาแถลงว่า อังกฤษจะระบายน้ำมันจำนวน 1.5 ล้านบาร์เรลออกสู่ตลาด ในความร่วมมือกับสหรัฐและชาติพันธมิตรเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน โดยน้ำมันที่อังกฤษปล่อยออกมานั้น เป็นน้ำมันจากสต็อกของภาคเอกชน ซึ่งดำเนินการด้วยความสมัครใจ โดยจะไม่กระทบต่อคลังสำรองของรัฐบาล