คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ออกแถลงการณ์กรณีคําสั่งไม่ฟ้องคดีอาญานายวรยุทธ อยู่วิทยา จี้อัยการสูงสุด – สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ชี้แจงขั้นตอนและเหตุผลที่ ต่อสาธารณชน ตรวจสอบการใช้ดุลยพินิจหากไม่สุจริตให้ใช้ดุลยพินิจใหม่
วันที่ 27 ก.ค. 2553 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ออกแถลงการณ์ กรณีคําสั่งไม่ฟ้องคดีอาญา นายวรยุทธ อยู่วิทยา ระบุว่า
ตามที่ได้มีการนําเสนอข่าวเกี่ยวกับการยุติการดําเนินคดีอาญากับนายวรยุทธ อยู่วิทยา ซึ่งถูกตั้งข้อหาเป็นคดีอาญา 5 ข้อหา รวมถึงข้อหาขับรถโดยประมาททําให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย โดยที่ทั้ง 5 ข้อหานี้ หากมีการดําเนินคดีอาญาและต่อสู้คดีกันตามปกติ แม้พิสูจน์ได้ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทําความผิดจริง ก็มีโอกาสที่ศาลจะพิพากษารอการกําหนดโทษหรือรอการลงโทษ อย่างไรก็ตามปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีความพยายามในการช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาซึ่งมีสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจที่ดียิ่งให้รอดพ้นจากการถูกดําเนินคดีมาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ จนเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนที่ให้การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาถูกลงโทษทางวินัย ในขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาเองได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกประเทศและไม่ได้กลับมาต่อสู้คดีตามปกติเป็นเวลาต่อเนื่องยาวนานหลายปีข้อเท็จจริงที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเหตุให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยในความโปร่งใสและประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรมทางอาญา และคอยติดตามความคืบหน้าของการดําเนินคดีด้วยความวิตกกังวลอย่างยิ่ง
แม้เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการดําเนินคดีและผลของคดีอาญาในคดีจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมของประเทศในภาพรวม การดําเนินคดีอาญาในคดีนี้ กลับเป็นไปด้วยความล่าช้าจนทําให้คดีขาดอายุความไป 3 ข้อหา ในขณะที่ข้อหาขับรถโดยประมาททําให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นข้อหาที่
อุกฉกรรจ์ที่สุดในบรรดาข้อหาทั้งหมดและเจ้าพนักงานยังมีโอกาสพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกกล่าวหาไปจนถึงปี 2570 สํานักงานอัยการสูงสุดกลับมีคําสั่งไม่ฟ้อง และสํานักงานตํารวจแห่งชาติไม่แย้งคําสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว ทั้งที่ได้เคยมีการออกหมายจับไปแล้วก่อนหน้าและมีการแจ้งให้สาธารณชนทราบเมื่อไม่นานมานี้ว่าอยู่ระหว่างการดําเนินคดีโดยไม่ได้ชี้แจงเหตุผลให้ประชาชนทราบอย่างชัดเจนถึงการเปลี่ยนแปลงคําสั่งและดุลยพินิจซ้ำร้ายสังคมกลับทราบข่าวการสั่งไม่ฟ้องจากสื่อต่างประเทศ นอกจากนี้รายงานการตรวจพบสารเสพติดในตัวผู้ถูกกล่าวหาซึ่งปรากฏเป็นข่าวอยู่ในขณะนี้ทําให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงสงสัยการใช้ดุลยพินิจสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาขับรถขณะเมาสุราที่ได้ยุติไปก่อนหน้าและการไม่ดําเนินคดีอาญาใดๆ ที่เกี่ยวข้องการตรวจพบสารเสพติดในร่างกาย
แม้ว่าตามกฎหมาย พนักงานอัยการจะมีดุลยพินิจในการสั่งคดีไม่ว่าจะเป็นการสั่งฟ้องหรือการสั่งไม่ฟ้องบนพื้นฐานของ “พยานหลักฐาน” ว่าพอเพียงที่จะดําเนินคดีหรือไม่และรับฟังได้เพียงใด หรือบนพื้นฐานของ “ประโยชน์สาธารณะ” แต่การใช้ดุลยพินิจดังกล่าวจะต้องมี “เหตุผล” ที่หนักแน่น โดยเฉพาะคดีที่มีผลกระทบอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่นของประชาชนในกระบวนการยุติธรรมของประเทศอย่างเช่นคดีนี้ยิ่งต้องแสดงเหตุผลที่หนักแน่นมากเป็นพิเศษ เพื่อแสดงให้เห็นถึงการดําเนินคดีอาญาที่โปร่งใส เป็นธรรมและไม่เลือกปฏิบัติซึ่งจะช่วยคลายความวิตกกังวลของสาธารณชน อย่างไรก็ตามตั้งแต่เริ่มมีการดําเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาเมื่อปี 2555 จวบจนปัจจุบัน ความเคลือบแคลงสงสัยของสังคมมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่คําชี้แจงหรือคําอธิบายต่อการดําเนินการและผลทางคดีกลับไม่ชัดเจน ไม่มีเหตุผลหนักแน่นเพียงพอ และบางครั้งมีความขัดแย้งกันเอง สร้างความไม่พอใจและเสื่อมศรัทธาต่อกระบวนการยุติธรรมในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวาง และส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาชาติ
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าสังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประชาชนจํานวนมากตั้งคําถามเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมที่เหลื่อมล้ำและเลือกปฏิบัติเพราะเหตุของความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสถานะทางสังคม จนเกิดวาทกรรม “คุกมีไว้ขังคนจน” ในขณะที่บุคลากรส่วนใหญ่ในกระบวนการยุติธรรมและผู้ประกอบวิชาชีพกฎหมายพยายามอย่างยิ่งในการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กฎหมายด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและพยายามกอบกู้ศรัทธาของประชาชนที’มีต่อกระบวนการยุติธรรมของประเทศ หลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรวมถึงการดําเนินคดีอาญาต่อนายวรยุทธ อยู่วิทยา ทําให้ความพยายามดังกล่าวไร้ความหมายในสายตาของประชาชาชน และการวิพากษ์วิจารณ์ของสังคมที่มีต่อองค์กรและบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมบั่นทอนกําลังใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริตและเที่ยงธรรม
เพื่อธํารงไว้ซึ่งหลักความเสมอภาคภายใต้กฎหมายและหลักนิติรัฐ เพื่อกอบกู้ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อกระบวนการยุติธรรมของไทย และเพื่อรักษากําลังใจของบุคลากรในกระบวนการยุติธรรมให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรมและด้วยความภาคภูมิใจ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม
คณาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังมีรายนามข้างท้าย ขอเรียกร้องให้สํานักงานอัยการสูงสุดและสํานักงานตํารวจแห่งชาติดําเนินการดังต่อไปนี้โดยเร็ว 1.ชี้แจงขั้นตอนการดําเนินการคดีอาญากับนายวรยุทธ อยู่วิทยา โดยละเอียดและอธิบายเหตุผลอย่างชัดเจนถึงผลของคดีที่ขาดอายุความและการใช้ดุลยพินิจไม่ฟ้องคดีอาญา และ 2. ตรวจสอบว่าการดําเนินการและการใช้ดุลยพินิจดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย สุจริตและโปร่งใสหรือไม่ และหากพบว่า มีการดําเนินการหรือการใช้ดุลยพินิจในขั้นตอนใดไม่เป็นไปตามกฎหมาย ไม่สุจริต หรือไม่โปร่งใส ให้พิจารณาดําเนินการและใช้ดุลยพินิจใหม่ให้ถูกต้อง
รายชื่ออาจารย์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาศาสตร์ จำนวน 31 คน ที่ร่วมลงชื่อในแถลงการณ์ฉบับนี้
- รองศาสตราจารย์ ดร.มุนินทร์ พงศาปาน
- รองศาสตราจารย์ ดร.สุปรียา แก้วละเอียด
- รองศาสตราจารย์ ดร.ต่อพงศ์ กิตติยานุพงศ์
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.รณกรณ์ บุญมี
- รองศาสตราจารย์ ดร.นิรมัย พิศแข มั่นจิตร
- รองศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ วรปัญญาอนันต์
- รองศาสตราจารย์ ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตราสายสุนทร
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นพร โพธิ์พัฒนชัย
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ทวีศักดิ์ เอื้ออมรวนิช
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เอมผกา เตชะอภัยคุณ
- อาจารย์ปวีร์ เจนวีระนนท์
- อาจารย์เอื้อการย์ โสภาคดิษฐพงษ์
- อาจารย์เฉลิมวุฒิ ศรีพรหม
- อาจารย์ภัทรพงษ์แสงไกร
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติพงศ์ กมลธรรมวงศ์
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล
- ศาสตราจารย์ ดร.อุดม รัฐอมฤต
- ศาสตราจารย์ ดร.สุเมธ ศิริคุณโชติ
- อาจารย์ปทิตตา ไชยปาน
- อาจารย์อัครวัฒน์ เลาวัณย์ศิริ
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มาตาลักษณ์ เสรเมธากุล
- ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กรศุทธิ์ ขอพ่วงกลาง
- อาจารย์ สุรศักดิ์ บุญุญานุกูลกิจ
- อาจารย์พวงรัตน์ ปฐมสิริรักษ์
- อาจารย์ ดร.นัษฐิกา ศรีพงษ์กุล
- อาจารย์จุฑามาศ ถิระวัฒน์
- อาจารย์ปรียาภรณ์ อุบลสวัสดิ์
- อาจารย์กรกนก บัววิเชียร
- อาจารย์กีระเกียรติ พระทัย
- อาจารย์เมษปิติ พลูสวัสดิ์
- อาจารย์กิตติภพ วังคํา
ขอบคุณภาพ FB : คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์