ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานสำหรับงวดแรกปี 2565 เมื่อเทียบกับครึ่งแรกปี 2564 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 22,005 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2,484 ล้านบาท หรือ 12.72%
หลักๆ เกิดจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่เพิ่มขึ้น 5,913 ล้านบาท หรือ 10.22% จากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อที่เพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร และการให้สินเชื่อเพื่อสนับสนุนให้ลูกค้าดำเนินธุรกิจได้ตามปกติ สอดคล้องกับการขยายตัวของเศรษฐกิจจากการผ่อนคลายมาตรการทั้งในและต่างประเทศใน
อย่างไรก็ตาม รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยลดลง 4,671 ล้านบาท หรือ 20.28% ส่วนใหญ่เกิดจากการปรับมูลค่ายุติธรรม (Mark to Market) ตามภาวะตลาดของสินทรัพย์ทางการเงินซึ่งเป็นการลงทุนตามธุรกิจปกติของบริษัทย่อย รวมทั้งรายได้สุทธิจากการรับประกันภัยและค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุนที่ลดลง
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 1,860 ล้านบาท หรือ 5.53% หลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาด และค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน
นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาคว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss : ECL) ในระดับที่ใกล้เคียงกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยยังคงใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาปัจจัยชิงเศรษฐกิจต่างๆ อย่างรอบคอบ
ส่วนผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 2 ปี 2565 เปรียบเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2565 ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิ 10,794 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 417 ล้านบาท หรือ 3.72% โดยรายได้ดอกเเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 261 ล้านบาท หรือ 0.82%
ส่วนใหญ่มาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้สินเชื่อซึ่งเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net Interest Margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.21%
นอกจากนี้ รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยยังเพิ่มขึ้น 637 ล้านบาท หรือ 7.17% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้สุทธิจากกรรับประกันภัยที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่การ Mark to market ของสินทรัพย์ทางการเงิน ค่าธรรมเนียมรับจากการจัดการกองทุน และค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงตามภาวะตลาด
สำหรับค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ เพิ่มขึ้น 680 ล้านบาท หรือ 3.90% หลักๆ มาจากค่าใช้จ่ายทางการตลาดและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาคาร สถานที่และอุปกรณ์ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ระดับ 43.53%
นอกจากนี้ ธนาคารและบริษัทย่อยตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 516 ล้านบาท หรือ 5.53% สอดคล้องกับการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และปัจจัยเชิงเศรษฐกิจต่างๆ