สำหรับปีนี้ต้องยอมรับยังคงเป็นปีที่นักลงทุนจะต้องเผชิญความผันผวนทางเศรษฐกิจมากพอสมควรเลยทีเดียว อ้างอิงได้จากการที่ทั่วโลกต้องเผชิญกับเรื่องของอัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ, ราคาพลังงานและอื่นๆ ล้วนแต่ส่งผลต่อการลงทุนในปีนี้ทั้งนั้น
แต่ถึงอย่างนี้แล้ว ทางด้าน ‘จิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์’ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า บริบทการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น ตลาดหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้นถึงกว่า 17%* โดยได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากแนวโน้มการสิ้นสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศยังคงสร้างแรงกดดันอยู่
สำหรับผลตอบแทนของตลาดหุ้นแยกเป็นรายประเทศ พบว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) และสหรัฐฯ (S&P500) ปรับตัวสูงขึ้น 30% และ 21% ตามลำดับ โดยในฝั่งสหรัฐฯ เป็นผลมาจากหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างดี ในขณะที่ SET Index ของไทยเป็น 1 ในดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมากที่สุดถึงประมาณ – 15%*
หากแยกผลตอบแทนเป็นรายสินทรัพย์ พบว่าตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นทองคำ ในขณะที่ตราสารหนี้ส่วนใหญ่บวกได้เล็กน้อย ในทางกลับกันการลงทุนในน้ำมันส่งผลลบในปีนี้
[ แนวโน้มของเศรษฐกิจปี 67 ]
-
-
-
- เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยสหรัฐฯ สามารถเลี่ยงภาวะถดถอย ยุโรปค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะที่จีนกำลังรอมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม
- เงินเฟ้อจะลดลง ธนาคารกลางจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย และจะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 หรือครึ่งหลังของปี
- ตลาดจะจับตาประเด็นการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
- เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยสหรัฐฯ สามารถเลี่ยงภาวะถดถอย ยุโรปค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะที่จีนกำลังรอมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม
-
-
[ แนวทางการลงทุนในปี 67 ]
-
-
-
- เงินลงทุนส่วนใหญ่ (50-70%) ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลักในกองทุนผสมแบบ Risk-based Asset Allocation
- เงินลงทุนในพอร์ตเสริม (30-50%) ให้กระจายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้ เพราะดอกเบี้ยรับที่สูงกว่าอดีตและโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยในตลาดปรับลดลง
- เงินลงทุนส่วนใหญ่ (50-70%) ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลักในกองทุนผสมแบบ Risk-based Asset Allocation
-
-
ทั้งนี้ ด้านตลาดหุ้นยังมีความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงควรเน้นกองทุนที่บริหารเชิงรุกในหุ้นเติบโตทั่วโลกและหุ้นเอเชียที่ราคาถูกกดดันมามากทั้งในตลาดหุ้นไทย จีน อินเดีย รวมทั้งเวียดนาม
สำหรับ Hedge Funds ที่จะช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ไม่อิงกับภาวะตลาด ควรเน้นสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลัก
[ โซลูชันของ KBank Private Banking ]
ในปี 2566 ที่ผ่านมา KBank Private Banking ได้นำเสนอบริการผ่านกลยุทธ์โซลูชัน 4 เสาหลัก เพื่อส่งมอบบริการบริหารความมั่งคั่งอย่างครบวงจร ได้แก่
-
-
-
- Risk-based Asset Allocation นำโดยกองทุนที่มากับนวัตกรรมการลงทุนขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่เหมาะจะเป็นพอร์ตหลักให้นักลงทุน ประกอบด้วย 4 กองทุนตามระดับความเสี่ยง คือ K-ALLBASIC, K-ALLRD-UI, K-ALLGR-UI และ K-ALLEN-UI 3 กองทุน มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น
- Alternative Investment การนำเสนอนวัตกรรมการลงทุนทางเลือกด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายในสินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยลดความผันผวนของการลงทุนตลอด 3 ปีที่ผ่านมา
- Sustainabiltiy Investment กลยุทธ์การลงทุนภายใต้แนวคิดที่ว่า โลกกำลังเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจที่สร้างความเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไปสู่โลกที่ระบบเศรษฐกิจยังคงเติบโตได้ในสภาวะแวดล้อมที่สะอาดขึ้นและโลกที่ยั่งยืนขึ้น และไม่ใช่ ‘ทางเลือก’ ของการลงทุน แต่เป็น ‘ทางรอด’ ให้กับพอร์ตการลงทุนและโลกในอนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืนขึ้นอีกด้วย
- บริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว โดยปัจจุบัน KBank Private Banking มีลูกค้าที่ใช้บริการรวมประมาณ 820 ครอบครัว คิดเป็น 39% ของลูกค้าไพรเวทแบงก์กิ้งทั้งหมด รวมทรัพย์สินครอบครัวภายใต้การบริหารจัดการประมาณ 1.9 แสนล้านบาท
-
-
‘ในปี 2567 ธนาคารยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริการและสานต่อโซลูชัน 4 เสาหลัก ที่ประกอบไปด้วย การลงทุนบนหลักการ Risked-based Asset Allocation การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก การลงทุนเพื่อความยั่งยืน และการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว ซึ่งเราเชื่อว่าโซลูชันเหล่านี้ ยังคงสอดคล้องกับสภาวะตลาดและสภาพเศรษฐกิจ’