Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

Fineline, D-nee, BeNice, Eversense, TROS, Vivite, Smart และ Tomi เป็นแบรนด์สินค้า FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ที่คนไทยรู้จักกันดี และได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของใครหลายคนมาอย่างยาวนาน เห็นได้จากการที่หลายคน หลายครอบครัว มักจะมีสินค้าจากแบรนด์เหล่านี้อยู่ในบ้านไม่ต่ำกว่า 1 ชิ้น หรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องเคยใช้มาแล้วมากกว่า 1 ครั้ง 

สงสัยไหมว่า ทำไมถึงเป็นแบบนั้น? 

ทำไมคุณ คนใกล้ตัว และคนอีกมากมาย ถึงเลือกซื้อสินค้าจาก 8 แบรนด์นี้ ทั้งๆ ที่ตลาด FMCG ก็มีแบรนด์อีกนับพันนับหมื่นให้เลือกซื้อ แล้วทำไมแบรนด์ทั้งหมดนี้ยังคงเป็นผู้นำตลาดได้อย่างยาวนานท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ที่ดุเดือดจนเป็น Red Ocean… 

ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังสงสัยในเรื่องนี้ วันนี้สำนักข่าว TODAY จะพาคุณหาคำตอบไปพร้อมกัน  

 

รู้จัก Neo Corporate เบื้องหลังความสำเร็จของ 8 แบรนด์ชั้นนำ 

หลายคนคงรู้จัก Fineline, D-nee, BeNice, Eversense, TROS, Vivite, Smart และ Tomi กันอยู่แล้ว ในฐานะ แบรนด์สินค้า FMCG อันดับต้นๆ ที่ผู้บริโภคไว้วางใจ เลือกซื้อ และเลือกใช้ แต่อาจจะยังไม่เคยรู้มาก่อนว่า ทั้ง 8 แบรนด์นี้ มี “เจ้าของ” เป็นบริษัทเดียวกัน นั่นคือ “Neo Corporate” บริษัทสัญชาติไทย ที่เริ่มต้นและบริหารโดยคนไทย คุณสุทธิเดช ถกลศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ตั้งแต่ พ.ศ. 2532 จนถึงปัจจุบัน

กว่า 34 ปีที่ผ่านมา ตลาด FMCG แข่งขันกันอย่างดุเดือดมาตลอด โดยมีทั้งแบรนด์ในประเทศและต่างประเทศ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาหารายได้ในตลาด แต่ถึงอย่างนั้นแบรนด์สินค้าในเครือ Neo Corporate ก็ยังคงครองใจผู้บริโภคได้ และครองส่วนแบ่งตลาด (Market Share) ในอันดับต้นๆ อยู่เสมอ อาทิ Eversense โคโลญสำหรับผู้หญิงที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับ 1 ทันทีที่ออกสู่ตลาด  TROS ผลิตภัณฑ์โคโลญสำหรับผู้ชายแบรนด์แรกของไทย ที่ครองอันดับ 1 จนถึงปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์สำหรับเด็กแบรนด์ D-nee ที่ครองตำแหน่งผู้นำตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าสำหรับเด็ก มียอดขายอันดับ 1 อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวแบรนด์ BeNice โดย Variant สีเขียว ขึ้นเป็นอันดับ 1 ทันทีที่ออกสู่ตลาด ปัจจุบันมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 3 เป็นต้น 

ความสำเร็จดังกล่าว เกิดจากสารตั้งต้นที่เรียกว่า ความเข้าใจและความหวังดี ตามปณิธานของคุณสุทธิเดชที่ตั้งมั่นตั้งแต่วันแรก และยึดถือมาจนถึงปัจจุบันว่า มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและนำเสนอสินค้าอุปโภคที่มีคุณภาพและหลากหลายครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ที่ช่วยดูแลชีวิตประจำวันของทุกคนให้ได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ในราคาที่เหมาะสม เพื่อเป็นการยกระดับความสุขของผู้บริโภคให้ทุกวันดียิ่งขึ้น  

 

สำหรับแนวคิดและการดำเนินงาน ที่ทำให้ Neo Corporate ประสบความสำเร็จได้เช่นปัจจุบัน สามารถสรุปออกมาได้เป็น 3 กลยุทธ์ ดังนี้

      1. กลยุทธ์ด้านการตลาดเพื่อเพิ่มความนิยมของผลิตภัณฑ์และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด 

Neo Corporate มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ปัจจุบันใหดียิ่งขึ้น รวมถึงการขยายผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้า Premium Mass และ Premium นอกจากนี้ บริษัทมีการเลือกใช้ช่องทางการสื่อสารทางการตลาดที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความนิยมของแบรนด์ ทั้งยังขยายช่องทางการจัดจำหน่ายเพื่อขยายฐานลูกค้าและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

      1. กลยุทธ์ด้านการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่อุปทานอย่างต่อเนื่อง 

Neo Corporate พัฒนากระบวนการผลิตในทุกขั้นตอนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายของบริษัท และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยบริษัทมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต เช่น การควบคุมการผลิตผ่านระบบคอมพิวเตอร์ การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ รวมถึงนำระบบคลังสินค้าสำเร็จรูปอัตโนมัติ (Automatic Storage and Retrieval System : ASRS) มาใช้ เพื่อการบริหารจัดกาที่รวดเร็วและแม่นยำสูงสุด 

      1. การให้ความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน 

Neo Corporate มุ่งสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน (Sustainability Brand) โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้สูตรผลิตภัณฑ์ที่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ หรือนำสารสกัดจากธรรมชาติมาเป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ รวมถึงสนับสนุนกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสม่ำเสมอ 

 

กลยุทธ์เหล่านี้ถือเป็นเบื้องลึกเบื้องหลังความสำเร็จในการปั้นแบรนด์ FMCG ให้คนติดใจ สไตล์ผู้นำตลาดอย่าง Neo Corporate ที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว  

อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของ Neo Corporate ที่ปรากฏอยู่ในบทความนี้ เป็นเพียงตัวอย่างแค่บางส่วนเท่านั้น เพราะยังมีความสำเร็จอีกมากมายที่ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม เช่น ใน พ.ศ. 2562 มียอดขายเป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าสูตรเข้มข้นชนิดน้ำ พ.ศ. 2563 มียอดขายอันดับ 2 ของประเทศไทยในกลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิวภายในบ้าน (ไม่รวมผลิตภัณฑ์ดันฝุ่น) เป็นต้น 

 

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า