‘ไบเดน’ หารือนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เห็นพ้องเสริมสร้างความแข็งแกร่ง รับมืออิทธิพลจีนในภูมิภาค

‘ไบเดน’ เยือนญี่ปุ่น หารือนายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ เห็นพ้องร่วมมือกระชับความสัมพันธ์ เสริมสร้างความแข็งแกร่ง รับมืออิทธิพลจีนและภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ

วันที่ 23 พ.ค. 2565 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวันอาทิตย์ (22 พ.ค.) หลังเสร็จสิ้นภาระกิจในเกาหลีใต้ ในระหว่างการเดินทางเยือนเอเชียอย่างเป็นทางการครั้งแรกตั้งแต่รับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 

ประธานาธิบดีไบเดนเริ่มภารกิจที่ญี่ปุ่นในวันจันทร์ (23 พ.ค.) ด้วยการเข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดินารูฮิโตะ ก่อนที่จะพบปะกับนายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าผู้นำทั้งสองจะหารือกันเกี่ยวกับแผนการขยายขีดความสามารถทางทหารของญี่ปุ่น และการต้านทานอิทธิพลของจีนที่กำลังเพิ่มขึ้น 

ขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีไบเดนมีแผนจะเปิดเผยแผนการของกรอบเศรษฐกิจอินโด-แปซิฟิก (Indo-Pacific Economic Framework: IPEF) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเยือนภูมิภาคเอเชียในครั้งนี้ โดยแผนการดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือในประเด็นต่างๆ ตั้งแต่ประเด็นในเรื่องห่วงโซ่อุปทานและมาตรฐานสำหรับเศรษฐกิจดิจิทัลไปจนถึงเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน

ด้านสำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ระหว่างการหารือ ประธานาธิบดีไบเดนและนายกรัฐมนตรีคิชิดะเห็นพ้องที่จะร่วมกันเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ท่ามกลางการขยายอิทธิพลจีนเพิ่มขึ้นในภูมิภาค และภัยคุกคามจากขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ

โดยผู้นำทั้งสองได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของสันติภาพและเสถียรในช่องแคบไต้หวัน พร้อมแสดงความกังวลอย่างจริงจังต่อโครงการอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ รวมถึงสถานการณ์ความไม่แน่นอนของสงครามรัสเซีย-ยูเครน 

นายกรัฐมนตรีคิชิดะเปิดเผยระหว่างแถลงข่าวร่วมกับผู้นำสหรัฐฯ ว่า“ในขณะที่สภาพแวดล้อมด้านความมั่นคงในภูมิภาคกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ผมได้ยืนยันประธานาธิบดีไบเดนว่าเราจำเป็นต้องเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการป้องปรามและตอบโต้พันธมิตรของสหรัฐฯและญี่ปุ่น” พร้อมเสริมว่า ประธานาธิบดีไบเดนได้แสดงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างรากฐานขีดความสามารถการป้องกันประเทศของญี่ปุ่น

ขณะที่ประธานาธิบดีไบเดนระบุว่า “สหรัฐฯ ยังคงมุ่งมั่นเต็มที่ในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันประเทศของญี่ปุ่น และยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความท้าทายมากขึ้น”