จำได้ไหมว่าเราเกลียดกันเพราะอะไร…
มาลาลา ยูซาฟไซ (Malala Yousafzai) เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพปี 2014 เคยกล่าวไว้ว่า “เราสามารถฆ่าผู้ก่อการร้ายด้วยอาวุธ แต่เราสามารถยุติการก่อการร้ายทั้งหมดด้วยการศึกษา”
แนวคิดแห่งสันติภาพและพลังแห่งการเรียนรู้ที่ว่า ถูกถ่ายทอดอย่างน่ารักน่าชังผ่านแอนิเมชันสีสันสดใสของเน็ตฟลิกซ์อย่าง Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส
คงพอจะพูดได้ว่า Klaus เป็นผลงานม้านอกสายตาเรื่องหนึ่งในปี 2019 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรื่องราวลายเส้นซึ่งผสมผสานเทคนิคสองมิติกับสามมิติเรื่องนี้ ไม่ใช่ผลงานจากค่ายดังอย่าง Disney, Pixar หรือ DreamWorks อีกทั้งจากใบปิด มันก็ดูจะเป็นเพียงแอนิเมชันคริสต์มาส ‘อีกเรื่อง’ ที่ผ่านมาแล้วจากไป ให้เพียงความเพลิดเพลินประเดี๋ยวประด๋าวก่อนสูญหายจากความทรงจำของผู้ชม
อย่างไรก็ดี เราไม่ควรตัดสินคุณค่าของหนังสือจากปกฉันใด เราก็ไม่ควรชี้ขาดความดีงามของหนังสักเรื่องจากโปสเตอร์และค่ายหนังฉันนั้น เพราะการปิดตา ปิดใจ ไม่ยอมทำความรู้จักอาจทำให้เรามองข้ามสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังแก่นสารดีๆ สักเรื่อง…
บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของ Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส
Klaus ดำเนินเรื่องผ่านเจสเปอร์ บุรุษไปรษณีย์ไม่เอาไหนผู้ถูกส่งไปประจำการบนเกาะน้ำแข็งที่ชื่อ ‘สเมียร์เรนส์เบิร์ก’ หน้าที่ของเจสเปอร์คือการส่งจดหมายให้ได้ 6,000 ฉบับภายใน 1 ปี แลกกับการกลับไปใช้ชีวิตหรูหราในเมืองหลวง แต่งานนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะชาวเมืองสเมียร์เรนส์เบิร์กแบ่งออกเป็นสองพวก ทั้งสองจงเกลียดจงชัง และทำสงครามกลางเมืองกันมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ เพราะงั้นอย่าว่าแต่ส่งจดหมายหากันเลย แค่พูดจาดีๆ ต่อกันในชีวิตประจำวันยังเป็นไปไม่ได้
ในขณะที่ เจสเปอร์กำลังตกที่นั่งลำบากนั้นเอง เขาบังเอิญได้พบกับครูสาวผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์อย่างอัลวา กับเคล้าส์ ช่างทำของเล่นไม้ร่างใหญ่ผู้เคร่งขรึม มิตรภาพที่ไม่น่าเป็นไปได้ของทั้งสามกระตุ้นให้กลุ่มเด็กในเมืองรู้จักตั้งคำถาม พร้อมพิจารณาความเชื่อซึ่งฝังรากลึกยาวนาน อันนำมาสู่จุดเริ่มต้นในการทลายกำแพงความเกลียดชัง แล้วแทนที่มันด้วยการสื่อสารและความเข้าใจ เกิดเป็นสังคมไร้สงครามในท้ายที่สุด
การร้อยเรียงเรื่องราวที่เด็กดูสนุก ผู้ใหญ่ไม่ลุกหนี ต้องยกความดีความชอบให้กับ เซอร์คิโอ พาโบลส์ (Sergio Pablos) ผู้กำกับและมือเขียนบทที่เคยปลุกปั้นแฟรนไชส์ Despicable Me จนฮิตถล่มทลาย โดยในครั้งนี้ เขาออกแบบงานแอนิเมชันบรรยากาศคริสต์มาส ที่มีซานตาคลอสกับต้นสนยักษ์เป็นฉากบังหน้า เพราะในหลักใหญ่ใจความ หนังเต็มไปด้ายประเด็นสังคมร่วมสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพความห่างไกลของสเมียร์เรนส์เบิร์กซึ่งบ่งบอกความเหลื่อมล้ำทางสังคม ตอกย้ำว่าคนเมืองสบาย คนชายขอบต้องดิ้นรนทนอยู่ ทั้งยังมีเหตุให้ต้องทะเลาะกันเองจนลืมตั้งคำถามถึงคุณภาพชีวิตที่ตนสมควรได้รับ
ความเหลื่อมล้ำที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงหน้าจอ ทว่า มีให้เห็นอย่างดาษดื่นในโลกความจริง ซ้ำร้ายในหลายประเทศ รัฐยังหาข้ออ้างหรือสิ่งหลอกล่อเพื่อให้ประชาชนมองข้ามการตรวจสอบสงสัย อาทิ ประเทศแถบยุโรปช่วงยุคกลาง ที่ปกครองโดยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งจำกัดการศึกษาไว้เฉพาะชนชั้นสูงและศาสนจักร หรือประเทศที่เป็นเผด็จการทหารและคอมมิวนิสต์ในบางยุค ที่มุ่งเน้นควบคุมประชาชนผ่านการควบคุมข้อมูลข่าวสารและการปลูกฝังทัศนคติตั้งแต่ในระดับโรงเรียน
ด้วยกรรมวิธีเหล่านี้ ประชาชนจะสูญเสียการคิดอย่างมีวิจารณญาณไปโดยปริยาย ขาดความสามารถในการจินตนาการถึงปัจจัยพื้นฐานที่ควรได้รับ และแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรวมตัวต่อรองกับภาครัฐ
ตัวละครในเรื่อง ที่ไม่ต้องการให้ชาวเมืองปราศจากความรู้และกระบวนการคิดคือครูอัลวา ทีแรกเธอตัดสินใจเป็นครูพร้อมความหวังอันสดใส แต่ความจริงอันโหดร้าย ทั้งทัศนคติของชาวเมือง ความอัตคัดขัดสน ตลอดจนข้อจำกัดด้านการเงิน ต่างบีบบังคับให้เธอต้องเปลี่ยนมาประกอบอาชีพแม่ค้าขายปลาประทังชีวิต
“ฉันเคยทำงานเป็นครู ในที่ที่คนไม่ส่งลูกหลานไปโรงเรียน… ตอนนี้ฉันเลยลดตัวมาทำงานนี้ จะได้เก็บหอมรอมริบ และไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่ไหนสักแห่งที่ห่างไกลจากที่นี่”
เสียงตัดพ้อของอัลวาสะท้อนปัญหาสังคมที่แสนเจ็บปวด ครูบาอาจารย์มากมายเคยเต็มไปด้วยไฟฝันในการพายเรือพาศิษย์ไปสู่ปลายทางที่ถูกต้อง ทว่าอาจด้วยรายได้ที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ วาระซ่อนเร้น (Hidden Agenda) บางอย่างของชนชั้นปกครอง รวมถึงการที่ครูผู้สอนมีภาระรับผิดชอบนอกเหนือการสอนนานัปการ ก็ไม่แปลกหากเปลวไฟความมุ่งมั่นที่ครั้งหนึ่งเคยโชติช่วงต้องมอดดับลับลา หลงเหลือเพียงความมืดมิด
การดำเนินเรื่องของ Klaus ฉายภาพปัญหาดังกล่าวได้อย่างเด่นชัด ทว่าก็สอดแทรกอย่างกลมกลืน ไม่ทำให้ผู้ชมรู้สึกโดนยัดเยียด นอกจากนี้ หนังยังชี้ทางออกของปัญหาได้อย่างน่าสนใจ ดูสนุก นั่นคือการที่เจสเปอร์หลอกล่อเด็กๆ ที่อยากได้ของเล่นให้เขียนจดหมายหาเคล้าส์ และในเมื่ออ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ เยาวชนแห่งสเมียร์เรนส์เบิร์กจึงจับพลัดจับผลูเข้าสู่ระบบการศึกษาโดยไม่ได้ตั้งใจ ครูอัลวาเห็นดังนั้นจึงกลับมาเปิดใจ มุ่งมั่นขัดเกลาเหล่าลูกศิษย์อย่างที่ครั้งหนึ่งเคยปรารถนา และนั่นเองนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นอันไม่มีที่สิ้นสุด เด็กๆ เริ่มสงสัย ตั้งคำถาม ตลอดจนค้นหาคำตอบ
การเข้าถึงการศึกษาช่วยให้เด็กๆ หัดตั้งคำถามง่ายๆ ว่า เพราะเหตุใด คนในเมืองจึงต้องแบ่งพรรคแบ่งพวก จุดเริ่มต้นของความเกลียดชังอยู่ตรงไหน และการปองร้ายของคนที่อยู่ในเมืองเดียวกันมีประโยชน์อะไร ซึ่งท้ายที่สุด คำตอบไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า มันคือ ‘ความเชื่อ’ ที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
หนังไม่ได้เฉลยกับผู้ชมว่า ความเชื่อนี้มีจุดกำเนิดอย่างไร และไม่อาจฟันธงได้ว่า อะไรคือจุดประสงค์ที่แท้จริงของผู้ที่หว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชัง แต่กระนั้น เมื่อความเชื่อได้รับการสังคายนา ดินแดนไกลปืนเที่ยงอย่างสเมียร์เรนส์เบิร์กก็ได้เรียนรู้ว่า การดุด่าว่าร้ายและทะเลาะเบาะแว้งไม่เคยเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้น การช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างหากที่จะช่วยให้สังคมเป็นสุข หรือหากสวยหรูกว่านั้น คือช่วยให้คนในเมืองเป็นกลุ่มก้อนและมีอำนาจมากพอที่จะต่อรองบางสิ่งบางอย่างจากศูนย์กลางความเจริญ
จะเห็นได้ว่า เมื่อเยาวชนเข้าถึงระบบการศึกษา ความขัดแย้งไร้ที่มา ตั้งแต่ในระดับของการกลั่นแกล้งหรือกระทั่งสงครามกลางเมืองก็สิ้นสุดลงได้ คำกล่าวของมาลาลา ยูซาฟไซเป็นจริงแล้วในโลกแห่งลายเส้น ส่วนในโลกความเป็นจริง เราคงต้องติดตามกันต่อไปว่าจะลงเอยอย่างไร แต่ที่แน่ๆ ภายใต้แอนิเมชันสีสวยที่เรียกน้ำตาได้ทุกเพศวัย ตำนานคริสต์มาสบทใหม่ของ Klaus จะมอบทั้งแง่คิดและความอบอุ่นละมุนยิ้มช่วงปลายปีให้ทุกคนอย่างแน่นอน
อ้างอิง