SHARE

คัดลอกแล้ว

ช่วยซัฟพอร์ตผู้หญิงคนนี้หน่อยได้มั้ยคะ…. ช่วยซัฟพอร์ต ‘โอแอซุน’ สาวเชจูคนนี้หน่อยได้มั้ยคะ…

 

ตอนนี้คงไม่มีนางเอกซีรีส์เกาหลีคนไหน ชวนปวดตับจนทุกคนอยากเอาใจช่วยเท่า ‘โอแอซุน’ จากซีรีส์ ‘ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวานWhen life gives you tangerine บนแพลตฟอร์ม Netflix แล้ว ใครจะโดนชีวิตสู้กลับได้เท่าตัวละครนี้อีกคงไม่มีแล้ว จนอยากลั่นถามคนเขียนบทว่า ‘ส้ม’ เรื่องนี้ จะ ‘หวาน’ เต็มที่กี่โมง

***บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาซีรีส์บางส่วน แต่ไม่ได้เฉลยเนื้อหาสำคัญของเรื่อง แต่ถ้าใครไม่อยากโดนสปอยส์ หนีไปก่อน***

When Life Gives You Tangerines เล่าเรื่องราว ของผู้หญิงคนหนึ่งบนเกาะเชจู ผ่านมุมมองของ ‘โอแอซุน’ (รับบทโดย ไอยู) สาวเกาหลีที่เติบโตขึ้นมาในช่วงทศวรรษ 1960 เธอกำพร้าพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ความสุขเดียวของเธอ คือการได้อยู่ใกล้ๆ แม่ หรือ  ‘กวังนเย’ (รับบทโดย ออม ฮเยรัน) นักดำน้ำ ที่ง่วนอยู่กับเก็บหอยเป่าฮื้อเพื่อหาเงินเลี้ยงลูก

cr.Netflix

แอซุนอาศัยอยู่บ้านของย่า เพราะแม่หวังว่าเธอจะได้รับการศึกษา และการดูแลที่พร้อมกว่าจากครอบครัวฝ่ายพ่อ ทว่า แม้แต่ปลา แอซุนยังไม่เคยจะได้กินเลยสักครั้ง ไม่รู้เพราะความไม่ใส่ใจ หรือเพราะความเชื่อที่ว่า ถ้ากินปลา เธอจะแย่งความโชคดีจากลูกชายของอาไป 

มีหรือที่คนเป็นแม่จะทนได้ กวังนเย ตัดสินใจพาแอซุนกลับมาอยู่ด้วยกันทันที ถึงจะรู้ว่าลูกสาวจะต้องมาอยู่ในบ้านเล็กๆ ที่ก็แทบจะนอนซ้อนไหล่กันอยู่แล้ว แต่แล้วโชคร้าย เพียงปีเดียว ความสุขของการได้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับแม่ก็ถูกพรากไป กวังนเยจากแอซุนไปด้วยโรคปอด จากการดำน้ำในวัยเพียง 29 ปี

ก่อนตาย กวังนเย สั่งเสียลูกสาวตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าอย่าดำเนินรอยตามชีวิตของเธอ และอย่าเป็น ‘แม่บ้าน’ ให้กับ ‘บยองชอล’ (รับบทโดย โอจองเซ) สามีใหม่ของแม่ ขอให้แอซุนสอบเข้ามหาวิทยาลัย และเป็นกวีอย่างที่เธอฝันให้ได้ 

แต่ด้วยคำหว่านล้อมของพ่อเลี้ยง ที่ว่าจะส่งเธอเรียนสูงๆ แอซุนถึงได้ใจอ่อน อยู่ที่เกาะเชจูเพื่อรอให้น้องๆ ต่างพ่อโตก่อน พร้อมกับการปลูกกระหล่ำปลีหาเลี้ยงทุกคนในบ้าน

ชีวิตในวัย 10 ขวบของแอซุน แม้จะเศร้า ขม ระทม เหมือนรสชาติของส้มในบางเวลา แต่เธอก็ได้รับ ‘ความหวานละมุน’ จาก ‘ยังกวานชิก’ (รับบทโดย พัคโบกอม) ลูกชายเจ้าของแผงขายอาหารทะเลในตลาด ที่โตกว่าแอซุน 1 ปี กวานชิกคอยติดตาม ช่วยเหลือและให้กำลังใจแอซุนอยู่ตลอด เกาะติดไม่ต่างกับสมุนประจำตัว จนใครต่างก็รู้ว่า ผู้ชายคนนี้รักแอซุนขนาดไหน

ชีวิตของแอซุนถึงคราวหันเห เมื่อพ่อเลี้ยงของเธอแต่งงานใหม่ จนแอซุนไม่ต่างกับคนไร้บ้าน ถึงได้ตัดสินใจบ้าระห่ำหนีออกจากบ้านขึ้นฝั่งที่ปูซาน พร้อมลูกสมุนที่ได้รับการยกระดับเป็นคนรัก อย่าง กวานชิก แต่จนแล้วจนรอด ‘คเยอ๊ก’ (รับบทโดย โอมินแอ) แม่ของกวานชิกมาตามทั้งคู่กลับมาเชจูได้สำเร็จ

เหตุการณ์หนีออกจากบ้าน นับเป็นจุดด่างพร้อยในสายตาสังคม ที่ดูจะพลิกชีวิตของแอซุนไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้ เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียน ในขณะที่กวานชิกไม่ได้รับโทษแต่อย่างใด มาถึงตอนนี้ แม้ครอบครัวของ กวานชิก จะอยากแยกทั้งคู่ออกจากกันแค่ไหน แต่มีหรือจะสู้แรงรักครั้งใบไม่ผลิได้ ท้ายสุดแอซุน ก็ได้แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านนี้ในที่สุด

[‘แฮนยอ’ สตรีแห่งท้องทะเล: เรื่องราวของ ‘ผู้หญิง’ บนเกาะเชจู]

จุดเริ่มต้น ทุกความสุขและความเศร้าในซีรีส์เรื่องนี้ เริ่มขึ้นที่ เกาะเชจู (제주도) เกาะที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ ห่างจากแผ่นดินใหญ่ประมาณ 82.8 กิโลเมตร  มีชื่อเล่นว่า ‘ซัมดาโด’ (삼다도; 三多島) แปลว่า ‘เกาะแห่งความอุดมสมบูรณ์สามอย่าง’ นั่นคือ หิน ลม และผู้หญิง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพแวดล้อมทางธรรม และวัฒนธรรมที่โดดเด่นของเกาะ

หิน (돌): เกาะเชจูเป็นเกาะภูเขาไฟ เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟฮัลลาซาน (한라산) ทำให้มีหินลาวา หินภูเขาไฟ และโขดหิน กระจายอยู่ทั่วเกาะ เราถึงได้เห็นบ้านเรือน กำแพง และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ที่ทำจากหิน จนกลายเป็นเอกลักษณ์ของเกาะนี้ไปแล้ว

ลม (바람): เกาะเชจูตั้งอยู่กลางทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุม ทำให้มีลมแรงตลอดทั้งปี โดยเฉพาะในฤดูหนาว ลมที่เกาะแรงมากจนทำให้พืชเติบโตได้ยาก ชาวเกาะเชจูต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับลม เช่น ปลูกพืชแบบขั้นบันได สร้างบ้านด้วยกำแพงหิน หรือสร้างกังหันลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า

ผู้หญิง (여자): ในอดีตผู้ชายบนเกาะเชจูต้องออกไปรบ แถมจำนวนมากก็เสียชีวิตจากการออกทะเล ทำให้ผู้หญิงต้องทำงานหาเลี้ยงชีพ และกลายเป็นหัวหน้าครอบครัว ผู้หญิงบนเกาะเชจูจึงมีบทบาทสำคัญทางสังคมและเศรษฐกิจ ทั้งในฐานะแม่บ้าน และนักดำน้ำหญิง

cr.Netflix

ประเพณีการดำน้ำ เพื่อหาอาหารทะเล แต่เดิมทีเป็นอาชีพของทั้งชายและหญิง โดยมีหลักฐานการดำน้ำของผู้ชาย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 6  ต่อมาในศตวรรษที่ 17 ผู้หญิงเริ่มเข้ามามีบทบาทในอาชีพนี้มากขึ้น โดยในสมัยโชซอน พวกเธอมีหน้าที่เก็บรวบรวมหอยเป๋าฮื้อและสาหร่าย เพื่อส่งเป็นเครื่องบรรณาการให้กับรัฐบาล

ตามข้อสันนิษฐาน สาเหตุของการเปลี่ยนแปลง ที่ทำให้นักดำน้ำกลายเป็นอาชีพหลักของผู้หญิงบนเกาะ เกิดขึ้นตั้งแต่ในสมัยโชซอน ผู้ชายต้องจ่ายภาษีจากรายได้ ในขณะที่ผู้หญิงได้รับการยกเว้น ทำให้มีอิสระในการหารายได้มากกว่า และถัดมาในช่วงทศวรรษ 1940 เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่ทางการเมืองบนเกาะเชจู ซึ่งมีเป้าหมายสังหารผู้ชาย ทำให้จำนวนประชากรชายลดลงอย่างมาก 

ประกอบกับ ผู้ชายเกาหลีจำนวนมากต้องเข้ารับราชการทหาร บ้างก็เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางทะเลระหว่างออกหาปลา ทำให้ไปๆ มาๆ ผู้หญิงกลายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว  

นอกจากนี้ ยังมีข้อสันนิษฐานว่า ผู้หญิงอาจมีความเหมาะสมกับการดำน้ำแบบอิสระมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายสามารถรักษาความอบอุ่น และดำน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า มีไขมันใต้ผิวหนังมากกว่าผู้ชาย ทำให้ทนต่อความหนาวเย็นของน้ำทะเลได้ดีกว่า

นับแต่นั้น เราถึงได้รู้จักกับ กลุ่มนักประดาน้ำหญิงแห่งเกาะเชจู ด้วยชื่อเรียกว่า ‘แฮนยอ’ (해녀; 海女) แปลตรงตัวได้ว่า ‘สตรีแห่งท้องทะเล’ อย่างที่แม่ของแอซุนใช้หาเลี้ยงครอบครัว

พวกเธอคือผู้สืบทอดวิถีชีวิตอันน่าทึ่ง ด้วยการดำน้ำลึกเก็บเกี่ยวอาหารทะเล โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยหายใจเป็นเวลานานนับศตวรรษ แฮนยอเหล่านี้มิใช่เพียงผู้หาเลี้ยงชีพ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลของเกาะเชจูอีกด้วย

สาวน้อยแห่งเกาะเชจูที่ต้องการเป็นแฮนยอ จะเริ่มฝึกฝนตั้งแต่อายุยังน้อย โดยเรียนรู้จากผู้ใหญ่ผ่านการเล่น และการลงน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ และเมื่อถึงวัย 15 ปี พวกเธอจะเริ่มคุ้นชินกับทะเล และถูกเรียกว่า ‘อากี แฮนยอ’ (아기 해녀) หมายถึง แฮนยอฝึกหัด

หากสังเกตในซีรีส์ แก๊งป้าๆ แฮนยอมักจะรวมตัวกันบริเวณโขดหิน ที่ล้อมรอบเป็นกำแพงเนินเตี้ยๆ เรียกว่า ‘พูลท็อก’ (불턱) ซึ่งป็นสถานที่ที่แฮนยอใช้เตรียมตัวก่อนลงน้ำ หรือพักผ่อนหลังจากทำงาน แฮนยอจะไม่สามารถลงน้ำโดยลำพังได้ พวกเธอจะต้องทำงานร่วมกันเสมอ วัฒนธรรมของแฮนยอจึงมีลักษณะเป็นชุมชนที่เข้มแข็ง พูลท็อกยังเป็นศูนย์กลางในการแลกเปลี่ยนข้อมูล ความรู้ และเป็นสถานที่ตัดสินใจเรื่องสำคัญของชาวแฮนยอ

เสียงแหลมคมและก้องกังวาน เหนือคลื่นซัด หรือ ซุมบีโซรี (숨비소리) คือเสียงที่แฮนยอเปล่งออกมาเมื่อโผล่ขึ้นเหนือน้ำเพื่อหายใจ มีคำกล่าวที่แฮนยอรุ่นพี่มักสอนรุ่นน้องว่า จงอยู่ใต้น้ำเท่าที่ลมหายใจของเจ้าอนุญาตเท่านั้น” (숨이 허락하는 만큼만 머물다 오거라!)  ทั้งนี้ก็เพื่อให้ชาวแฮนยอละทิ้งความโลภของมนุษย์ ที่ต้องการจับสัตว์น้ำให้มากที่สุด แล้วหันมาปกป้องระบบนิเวศทางทะเล แนวคิดเกี่ยวธรรมชาติ ความรู้ทางทะเล ตลอดจนวัฒนธรรมชุมชน

ความปรารถนาเหล่านี้ ถึงทำให้แฮนยอแห่งเกาะเชจู ได้รับการยกย่องเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ของ UNESCO ในปี 2016

มากกว่าหน้าฉากที่ แฮนยอ ควรได้รับอย่างสมเกียรติ พวกเธอกลับเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นที่สุด ของการท้าทายบรรทัดฐานทางเพศ แบบดั้งเดิมในสังคมเกาหลี อย่างลัทธิขงจื๊อใหม่ ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในสังคมเกาหลี ที่กำหนดให้ผู้หญิงมีบทบาทหลักในการดูแลบ้านและครอบครัว 

เมื่อแฮนยอทำสิ่งตรงกันข้าม เป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว นำไปสู่โครงสร้างสังคมแบบกึ่งมาตาธิปไตย (semi-matriarchal) บนเกาะเชจู โดยผู้หญิงเป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจในครัวเรือน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงบนเกาะเชจู ก็ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดทางสังคมและการเมือง เช่น  ไม่สามารถเข้าถึงตำแหน่งผู้นำทางการเมือง หรือ ไม่สามารถสืบทอดมรดกได้ พวกเธอยังคงถูกคาดหวังให้เป็น ‘แม่’ และ ‘ลูกสะใภ้’ ที่ดีของสังคมต่อไป

[พวกเธอเป็นเพียง ‘แม่’ และ ‘ลูกสะใภ้’]

“หนูจะทำทุกอย่างเลย

จะเป็นหัวหน้าชาวประมง

จะเป็นประธานาธิบดีห้าสมัยเลยด้วย”

เสียงของผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่มีความฝัน และอิสระเสรี อยากทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการ โดยเฉพาะพื้นที่ของ ‘การเมือง’ ที่สังคมขีดเส้นไว้ว่าเป็นพื้นที่เฉพาะของ ‘ผู้ชาย’ กำลังชวนให้เราเข้าไปสำรวจชีวิตของแอซุน

cr.Netflix

ตั้งแต่สาธารณรัฐเกาหลี หรือเกาหลีใต้ก่อตั้งในปี 1948  รัฐธรรมนูญระบุไว้อย่างชัดเจนว่า “ไม่มีใครควรถูกเลือกปฏิบัติบนพื้นฐานของเพศ” อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติผู้หญิงเกาหลีต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติในหลายด้านของชีวิต ทั้งเรื่องการศึกษา การจ้างงาน การเมือง ตลอดจนบทบาทในสถาบันครอบครัว

ตลอดการดำเนินของซีรีส์ When Life Gives You Tangerines ‘ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน’ คนดูจะเห็นว่า โอแอซุนถูกสังคมเลือกปฏิบัติสารพัด ตั้งแต่ถูกขัดไม่ให้รับตำแหน่งหัวหน้าห้อง ทั้งที่เพื่อนร่วมห้องต่างมอบคะแนนให้เธอเป็นผู้ชนะ หรือแม้แต่ตอนเลือกตั้งหัวหน้าชาวประมง ผู้ชายในหมู่บ้านยังเอ่ยว่า

“ต่อให้ตระกูลโอฉลาดแค่ไหน หรือตระกูลบูจะทึ่มแค่ไหน…

หัวหน้าผู้หญิงเหรอ ไม่เคยมีในคาบสมุทรเกาหลีสักที”

รวมถึงตอนที่แอซุนกับกวานชิน ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปปูซาน แอซุนกลับเป็นฝ่ายที่ถูกตำหนิมากที่สุด ทั้งโดนสังคมกล่าวหาว่าเป็นเด็กใจแตก ทำผิดศีลธรรม เป็นฝ่ายล่อลวงกวานชิกให้เสียคน ไม่มีผู้ชายบ้านไหนอยากจะแต่งงานด้วย

“อยากเล่นสนุกก็ทำไปคนเดียวสิ จะฉุดหลานชายบ้านอื่นให้จมไปด้วยทำไม”

“ต่อให้ทำทุกอย่างเหมือนกัน ถ้าผู้ชายทำเรียกกล้าหาญ แต่ถ้าผู้หญิงทำเรียกผิดศีลธรรมไง”

“หนูคงเกิดมาเพื่อเป็นแม่บ้านละมั้งคะ” เสียงที่ดูไร้ความหวังแอซุนเอ่ยอย่างช้าๆ ในวันที่เธอถูกนัดดูตัว จับคู่ให้แต่งงานเป็นคุณนายของกัปตันเรือวัยกลางคน ทั้งที่เธอเพิ่งเป็นสาว  กัปตันไม่ขออะไรมาก เพียงขอให้เธอทำหน้าที่แม่บ้าน และสะใภ้ว่านอนสอนง่ายก็พอ 

cr.Netflix

แม้ในที่สุดแอซุนจะได้สมหวังในความรัก ได้แต่งงานกับกวานชิก ผู้ชายที่เธอรักและอยู่เคียงข้างเธอมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่อาจหนีโชคชะตาในการเป็น ‘แม่บ้าน’ และ “ลูกสะใภ้ที่ว่านอนสอนง่าย” ไปได้ 

แอซุนต้องตื่นแต่เช้ามาหุงข้าว ทำครัว และอยู่หน้าเตาไฟทุกวัน ไม่ว่าแม่สามีกับย่าสามีจะสั่งให้ทำอะไร สั่งให้ไปไหว้พระ กราบขอลูกชาย 3,000 ครั้ง เธอก็ต้องยอมจำนน ทั้งที่นี่เป็นชีวิตที่แม่ขอไม่ให้ดำเนินรอยตาม และเธอเองก็ไม่อยากให้ ‘กึมมยอง’ ลูกสาวของเธอต้องดำเนินรอยตาม…

“ให้กึมมยองได้ขี่จักรยานเถอะ ฉันอยากให้กึมมยองขี่จักรยาน ขอร้องละ…

ถ้าขี่จักรยานไม่เป็น สุดท้ายต้องมีชีวิตหน้าเตาไฟไปจนตาย

ฉันอยากให้กึมมยองได้ทำทุกอย่าง

ได้มีทุกอย่าง และได้เป็นทุกอย่าง ได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกเลย

ไม่ให้กึมมยองต้องเป็นคนจัดโต๊ะอาหาร แต่อยากให้เป็นคนคว่ำโต๊ะไปเลย”

นับเป็นความตั้งใจของแอซุน ที่ปรารถนาให้ กึมมยอง มีชีวิตที่ต่างออกไป แต่แล้วเมื่อกึมมยองเติบโต เรียนมหาวิทยาลัยจบ ถึงคราวแต่งงาน ดูเหมือนเธออาจถูกค่านิยม และกรอบสังคมเดิมขีดเส้นหน้าที่ของ ‘แม่บ้าน’ และ ‘ลูกสะใภ้’ ไม่ต่างกัน ทั้งๆ ที่เธอมีความฝันจะเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานก็ตาม

“แต่ว่าหนูน่ะ…ได้รับคำชมจากคนอื่นค่อนข้างเยอะค่ะ เขาบอกด้วยว่าน่าจะได้ขึ้นเป็นผู้จัดการเร็ว ๆ แน่” กึมมยอง กล่าวกับว่าที่แม่สามี

“จะทำต่อไปเรื่อยๆ เหรอ ถ้าแต่งงานแล้วก็ยังจะทำงานบริษัทต่อเหรอ

ขอพูดตรงๆ เลยว่าตำแหน่งลูกสะใภ้ของรัฐมนตรีคนต่อไป

ยกระดับเธอได้ดีกว่าการเป็นผู้จัดการอีก…

ยองบอมของเราเป็นลูกชายคนโต แล้วก็เป็นคนเก่งมีความสามารถ

แล้วทำไมภรรยายองบอมของเราถึงไม่คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลังยองบอม

แต่กลับไปเที่ยวทำงานนอกบ้านด้วย….” ว่าที่แม่สามี ตอบกลับ

[โลกเปลี่ยน ไม่ได้หมายความว่าชีวิตผู้หญิงจะเปลี่ยนตาม]

แม้เกาหลีใต้ในทศวรรษ 1960 ถึง 1990 ซึ่งเป็นไทม์ไลน์ของซีรีส์ When Life Gives You Tangerines จะรับแนวคิดประชาธิปไตย ความเสมอภาค และความเท่าเทียมมาจากโลกตะวันตกแล้ว แต่แนวคิด ‘ขงจื๊อใหม่’ ที่เป็นอุดมการณ์หลักของรัฐในสมัยโชซอน ยุคสมัยก่อนจะเกิดสาธารณรัฐเกาหลี ราว 500 ปี กลับเป็นห่วงโซ่พันธการฉุดรั้งให้ผู้หญิงต้องเป็น ‘ผู้ตาม’ และ ‘ผู้ที่เชื่อฟัง’ ในสังคมต่อไป

ลัทธิขงจื๊อใหม่ในเกาหลี ไม่ได้มีแนวคิดอภิปรัชญาจากพุทธศาสนา และลัทธิเต๋าแบบในจีน แต่มุ่งเน้นด้านศีลธรรม การปฏิบัติตัวตามจารีตและประเพณีแทน หนึ่งในนั้นคือ เน้นให้ผู้หญิงเกาหลีเคารพและจงรักภักดีต่อผู้ชาย เช่น หลักเชื่อฟังสาม สี่คุณธรรม (삼종사덕, 三從四德)  สามสิ่งที่ผู้หญิงต้องเชื่อฟังตลอดชีวิตคือ เมื่อเป็นลูกสาว ต้องเชื่อฟังบิดา เมื่อแต่งงานแล้ว ต้องเชื่อฟังสามี และ เมื่อสามีเสียชีวิต ต้องเชื่อฟังบุตรชาย ส่วนคุณธรรมสี่ประการที่ผู้หญิงพึงมี ได้แก่

1) ต้องเป็นหญิงที่มีจริยธรรม จิตใจบริสุทธิ์

2) ต้องรักษากิริยามารยาท และความเรียบร้อย

3) ต้องพูดจาสุภาพ ไม่พูดมากเกินไป

4) ต้องเป็นแม่บ้านที่ดี ดูแลบ้านเรือนและครอบครัว

ชีวิตของผู้หญิงในเกาหลีในสมัยโชซอน เมื่อถึงคราวออกเรือน ผู้หญิงจะเป็นฝ่ายแต่งเข้าครอบครัวสามี พวกเธอจะไม่ถูกเพิ่มชื่อเข้าไปในทะเบียนตระกูลของสามี แต่จะถูกบันทึกไว้ข้างชื่อของสามีว่าเป็น ‘ภรรยา’ บทบาทของพวกเธอหลังจากนั้นต้องเป็นแม่บ้าน และลูกสะใภ้ในอุดมคติ  เพราะในสมัยโชซอนมีจริยธรรมว่าด้วยการเป็นภรรยาและลูกสะใภัที่ดี (열녀효부; 烈女孝婦) ซึ่งเป็นลักษณะของผู้หญิงต้นแบบ ควรเอาเป็นตัวอย่าง กล่าวคือ ภรรยาต้องมีความซื่อสัตย์ ภักดีต่อสามีเหมือนลูกที่กตัญญูต่อพ่อแม่ และลูกสะใภ้ต้องดูแล ปรนนิบัติพ่อแม่สามีให้ดีกว่าพ่อแม่ตัวเอง

ผู้หญิงเกาหลีในสมัยก่อนไม่สามารถคิดอะไรคนเดียว หรือวางแผนอะไรคนเดียวได้ ต้องขออนุญาตสามีก่อน และเป็นเพศที่ต้อง ‘เชื่อฟัง’ ไม่สามารถแสดงความคิดของตัวเองออกนอกหน้า หากดึงดันกับความคิดของตนเอง จะทำให้ประเทศล่มจม และตระกูลพังพินาศ จึงไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อแอซุนยืนกรานว่าจะไม่ให้กึมมยองเป็นนักดำน้ำ เหมือนที่แม่สามีและย่าสามีต้องการ เธอจึงถูกครอบครัวสามีตบ และรุมด่าสารพัดว่าไม่มีมารยาท ทำตัวไม่เห็นหัวบรรพบุรุษ

ในสมัยโชซอน นอกจากสามีจะเป็นขอหย่าภรรยาเองได้แล้ว หากภรรยาประพฤติตัวไม่ดี เช่น การไม่มีลูกชาย สามียังลงไม้ลงมือกับภรรยาได้อีก ถึงกับมีสำนวนติดตลกว่า “ถ้าไม่ตีเมียสามวัน เธอจะกลายเป็นหมาป่า” หมาป่าในประเทศเอเชียตะวันออกเป็นสัญลักษณ์แทนความเจ้าเล่ห์และมารของเพศหญิง ตำนานนิทานพื้นบ้านคูมีโฮ  (구미호) ของเกาหลี  เล่าว่าจิ้งจอกเก้าหางสามารถแปลงร่าง เป็นสาวงามเพื่อล่อให้ผู้ชายตกหลุมพรางและกินตับพวกเขา

ความย้อนแย้ง และตลกร้ายอย่างหนึ่งของลัทธิขงจื๊อใหม่คือ นอกจากจะกะเกณฑ์ให้ผู้หญิงอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนแล้ว เมื่อสามีตายไปเธอกลับไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกในฐานะคู่ชีวิตที่เหนื่อยยากมาด้วยกันเลย งานบ้านถูกสั่งให้ทำตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ แต่มีสิ่งที่หนึ่งที่เธอไม่มีสิทธิ์ทำ นั่นคือการประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ (제사; 祭祀)  พวกเธอทำได้เพียงอาหารบนโต๊ะเซ่นไหว้ แต่คนประกอบพีธีต้องเป็น ‘ลูกชาย’ ของบ้านเท่านั้น ถ้าลูกชายคนโตตาย ‘หลานชาย’ คนโตก็ต้องรับหน้าที่นี้ต่อแทน 

เหมือนที่เราเห็นอาของแอซุนค่อยบ่นกับ ย่าแอซุนเสมอว่า ‘จงกู’ เป็นหลานคนโตที่ต้องให้ความสำคัญ เลี้ยงดูให้ได้ดีที่สุด เพราะเป็นคนที่จะเตรียมพิธีไหว้บรรพบุรุษให้ย่าในอนาคต

เรื่องการศึกษาไม่ต้องพูดถึง ผู้หญิงในสมัยโชซอนถูกกีดกันจากการศึกษา แม้ในทศวรรษ 1960 รัฐบาลได้ออกข้อกำหนดให้เด็กทุกคนเข้ารับการศึกษา โดยไม่เกี่ยงว่าเป็นเพศใด 

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงหลายคนก็ยังพลาดโอกาส เพราะถูกกีดกันจากครอบครัว ลูกสาวหลายคนต้องเสียสละออกจากโรงเรียนกลางคัน เพื่อให้พี่ชายหรือน้องชายได้เรียนต่อแทน โดยที่ตัวเองต้องออกมาหางานทำ ประกอบกับมีค่านิยมจากโชซอนฝังรากลึก ว่ากันว่า “ถ้าผู้หญิงรู้หนังสือ จะไม่เชื่อฟังสามี”  

แม้ 10-20 ปีต่อมา (ทศวรรษ 1970-1980) ผู้หญิงเกาหลีจะได้รับอนุญาตให้เรียนหนังสือจนถึงระดับมหาวิทยาลัย แต่พวกเธอก็ถูกคาดหวังให้แต่งงานเร็วที่สุด เป็นเหตุให้ต้องล้มเลิกความหน้าในสายอาชีพ เพราะต้องไปมุ่งเน้นดูแลบุตรแทน

ชีวิตของแอซุนก่อนที่จะถูกไล่ออกจากโรงเรียน เมื่อครั้งที่เธอถูกภรรยาใหม่ของพ่อเลี้ยงไล่ออกจากบ้าน เธอไปขอความช่วยจากบ้านย่า แต่กลับถูกอา น้องชายของพ่อที่เสียไป ไล่ไปทำงานเชื่อมโลหะที่ปูซานแทน เพราะกลัวว่าแอซุนจะเป็นภาระของบ้าน แต่อากลับหน้าไม่อาย เป็นฝ่ายขอแบ่งเงินเดือนที่แอซุนควรจะได้คนเดียว มาใช้หนี้ให้ลูกชายตัวเอง โดยอ้างว่า “หนี้ของจงกูก็คือหนี้ของแกเองนั่นแหละ ถ้าจงกูได้ดี แกเองก็จะได้แต่งงานดีๆ ไง” 

ไม่เท่านั้น ลัทธิขงจื๊อใหม่สมัยโชซอน ยังมีอิทธิพลไปถึง ‘การแต่งกาย’ ในสมัยก่อนถ้าผู้หญิงจะออกจากบ้านจะต้องสวมเสื้อคลุมยาว หรือนำกระโปรงมาปกคลุมใบหน้า เพื่อปกปิดเลือนร่างของตัวเอง ไม่มีหลักฐานว่าอิทธิพลการปิดบังใบหน้า และเลือนร่างในสมัยโชซอนส่งอิทธิพลมาถึงแฟชั่นในยุคสมัยใหม่ของเกาหลี แต่รัฐบาลสมัย

ประธานาธิบดีพัคจองฮี ช่วงทศวรรษ 1960 – 1970 มีคำสั่งห้ามผู้หญิงใส่กระโปรงสั้น (미니스커트; miniskrit) ที่ได้รับอิทธิพลจากโลกตะวันตก เพราะเป็นทำลายภาพลักษณ์ของกุลสตรี ถึงขนาดมีการตราหน้าว่าผู้ที่สวมกระโปรงสั้นเป็น ‘คนทรยศชาติ’ (반역자

cr.Netflix

รัฐบาลในยุคนั้นคาดหวังให้ผู้หญิงสวมใส่ชุดแขนยาว กางเกงขายาวสไตล์เรียบง่าย เหมาะแก่การทำงาน ไม่มีเครื่องประดับฟุ่มเฟือย นัยหนึ่งเพราะทศวรรษนั้นรัฐบาลพัคจองฮีมุ่งเน้นพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ประชาชนจึงถูกปลูกฝังให้มีวินัยทางสังคม ทำงานหนัก เสียสละเพื่อประเทศชาติ

[มูดัง ลัทธิมูของชาวเกาหลี: ความเชื่อท้องถิ่นที่ ‘ผู้หญิง’ เป็นผู้ขับเคลื่อน]

อีกอาชีพหนึ่งในซีรีส์ที่เด่นไม่แพ้แฮยอ เป็นอาชีพที่สะท้อนเอกลักษณ์ความเชื่อของเกาหลี ขอยกให้ ‘มูดัง’ (무당) หรือร่างทรง ทุกคนคงจะเห็น มักชอน ย่าของกวานชิก ที่ทำพิธีเอาถั่วแดงปาใส่แอซุนกันอยู่บ่อยครั้ง รวมถึงตอนที่แม่ของแอซุนล้มป่วย ย่าก็มาทำพิธีรักษาอาการเจ็บป่วยให้

‘ลัทธิมูซก’ (무속 신앙) หรือ การทรงเจ้าเข้าผี เป็นความเชื่อท้องถิ่นที่ถือกำเนิดมาตั้งแต่เกาหลียุคโบราณ ก่อนเกาหลีจะรับศาสนาต่างๆ เข้ามาในประเทศ ลัทธิมูซกนี้ยังคงฝังราก และส่งอิทธิพลต่อสังคมเกาหลีในปัจจุบัน  ในลัทธิมูซกจะมี ‘มูดัง’ หรือร่างทรง ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางสื่อสารระหว่างวิญญาณกับมนุษย์ ทำให้สามารถทำนายอนาคต และรักษาอาการเจ็บป่วยได้

สำหรับ ลัทธิมูซก เป็นแนวคิดแบบวิญญาณนิยม (animism) ในคติวิญญาณนิยม ทุกสิ่งดำรงอยู่ในธรรมชาติล้วนมีวิญญาณ และพลังงานชีวิตเหมือนมนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ ภูเขา ต่างเชื่อว่ามีพลังงานบางอย่างสถิตอยู่ ภูเขาเป็นสถานที่สิงสถิตสำคัญที่สุดของวิญญาณตามคติวิญญาณนิยม เชื่อกันว่า การขึ้นเขาเป็นวิธีเชื่อมต่อกับโลกวิญญาณให้ใกล้ชิดขึ้น ดังนั้นพิธีทรงเจ้าของลัทธิมูซกจึงนิยมจัดบนที่สูง จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาช้านาน

ภูมิประเทศของคาบสมุทรเกาหลี ที่เป็นภูเขากว่า 70% ก็ดูจะยิ่งส่งเสริมสิ่งนี้ ยอดเขาสำคัญในประเทศอย่าง แพคดูซัน ฮัลลาซัน มีอิทธิพลต่อจิตวิญญาณของคนเกาหลีเป็นอย่างมาก และแต่ละลูกก็มีความสำคัญต่างกันไป เช่น ฮัลลาซัน เป็นภูเขาที่สูงสุดในเกาหลีใต้ ตั้งอยู่บนเกาะเชจู ทำให้เกาะแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องคนทรงเจ้ามายาวนาน

โดยพิธีกรรมที่มูดังติดต่อสื่อสารกับเทพเจ้า หรือวิญญาณเรียกว่า ‘กุด’ (굿) ชาวเกาหลีมักจะเข้าร่วมพิธีกุดเพื่อขับไล่โชคร้าย หรือวิญญาณไม่ดีออกไป แล้วขอให้โชคดีเข้ามาในชีวิต  ในอดีต ‘กุด’ เคยเป็นงานรื่นเริงของคนในหมู่บ้าน แต่ปัจจุบัน กลายเป็นพิธีดลบันดาลโชคลาภ นิยมทำตอนย้ายบ้านหรือเปิดกิจการใหม่ ในชนบท ชาวบ้านเข้าพิธีกุดเพื่อขอให้จับปลาได้มากๆ และขอให้ผลผลิตการเกษตรอุดมสมบูรณ์

cr.Netflix

ทุกคนอาจจะสงสัย ว่าทำไมย่าของกวานชิก จึงชอบหยิบถั่วแดงมาปาใส่แอซุน ซึ่งในซีรีส์ฉายภาพให้เห็นบางส่วนว่า เพราะเธอเชื่อว่าที่ร่างของแอซุน มีวิญญาณของผู้เป็นแม่คอยตามสิงอยู่ แถมการที่กลายเป็นม่ายสามีตาย ก็ไม่ต่างกับคนบาปตามความเชื่อในอดีต นี่ยังไม่นับการแต่งงานใหม่ มีสองผัว ซึ่งขัดแย้งกับค่านิยมสมัยก่อนที่ผู้หญิงต้องมีผัวเดียว  

ชาวเกาหลีมีความเชื่อว่า ‘ถั่วแดง’ () มีพลังอำนาจในการขับไล่วิญญาณชั่วร้าย และพลังงานด้านลบ โดยสีแดงเป็นสัญลักษณ์ของพลังหยาง เป็นสีที่วิญญาณชั่วร้ายหรือปีศาจกลัว ถั่วแดงจึงนิยมใช้ป้องกันเคราะห์ร้าย

นั่นถึงทำให้ ในเทศกาลเหมายัน (동지) ผู้คนจะรับประทานโจ๊กถั่วแดง (팥죽) ในช่วงคืนที่ยาวที่สุดของปี และมักนำโจ๊กถั่วแดงไปถวายที่แท่นบูชาบรรพบุรุษก่อน จากนั้นจึงนำถั่วแดงไปโรยตามมุมต่างๆ ของบ้าน เพื่อเป็นการป้องกันวิญญาณร้าย แม้แต่การขึ้นบ้านใหม่ ชาวเกาหลีก็นิยมมอบขนมเค้กข้าวเหนียวถั่วแดง (팥시루떡) ให้กับเพื่อนบ้านตามธรรมเนียมที่เชื่อกันมานี้เช่นกัน

ไม่เพียงเท่านั้นพิธีกรรมของมูดัง ยังมีความเกี่ยวโยงกับแฮนยอ อย่างที่ก่อนการดำน้ำ แฮนยอจะสวดมนต์ขอพรจากเทพเจ้าแห่งท้องทะเล เช่น จัมซูกุต (잠수굿) เพื่อความปลอดภัย และขอให้เก็บเกี่ยวได้อุดมสมบูรณ์ พวกเธอยังมีศาลเจ้าริมทะเลที่เรียกว่า ‘แฮซินดัง’ (해신당) ใช้ประกอบพิธีกรรมต่างๆ หนึ่งในพิธีกรรมที่สำคัญ คือ ‘แฮนยอ-กุต’ (해녀굿) เป็นพิธีกรรมขอพรให้โชคดีในการดำน้ำ พิธีกรรมเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ และความสำคัญของการเคารพในพลังของธรรมชาติ

cr.Netflix

ร่างทรงหญิงเกาหลีบนเกาะเชจู สามารถเดินไปประกอบพิธีคนทรงเจ้าได้ทุกที่ แต่มีพื้นที่หนึ่งที่พวกเธอไม่สามารถเข้าไปได้ รวมถึง ‘ผู้หญิงทั่วไป’ ก็ไม่มีสิทธิเช่นกัน พื้นที่นั่นคือ ‘เรือประมง’ 

ในตอนที่ 5 ของ When Life Gives You Tangerines คนดูจะได้เห็นกวานชิก ชวนให้แอซุนลงมาเขียนตัวอักษรชื่อของลูกๆ บนเรือ แต่แอซุนกลับปฏิเสธ เพราะคิดว่าตัวเองจะนำโชคร้ายไปให้ เช่นความเชื่อในอดีต แต่เมื่อ กึมมยอง ผู้เป็นลูกสาว ก้าวนำไปก่อน เธอในฐานะแม่ที่อยากข้ามผ่านข้อจำกัดของความเชื่อมาทั้งชีวิต ย่อมขัดไม่ได้ แถมยังเป็นแรงส่งให้กล้าพาตนเองขึ้นเรือได้สำเร็จ

นับแต่อดีต ชาวประมงบนเกาะเชจู และในหลายวัฒนธรรมชายฝั่งทั่วโลก ต่างมีความเชื่อทางไสยศาสตร์ และโชคลาง ว่าเรือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องรักษาความบริสุทธิ์ หากผู้หญิงปรากฏตัวบนเรือจะนำโชคร้ายมาให้ และทำให้ทะเลปั่นป่วน ปลาจะว่ายหนีไป เสียงของผู้หญิงอาจรบกวนจิตวิญญาณแห่งท้องทะเล ทำให้เกิดพายุและอุบัติเหตุ

ส่วนสาเหตุที่ร่างทรงชาวเกาหลีมักจะเป็นผู้หญิง สันนิษฐาว่า เป็นมรดกตกทอดจากในสมัยโชซอน แนวคิดขงจื๊อใหม่ยึดถือหลักการชายเป็นใหญ่ ทำให้มีการลดทอนบทบาทของเพศหญิงในที่สาธารณะ ผู้หญิงถูกจำกัดให้มีบทบาทแค่ในบ้าน รวมถึงห้ามมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมและศาสนา เช่น ไม่สามารถประกอบพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษได้ การเป็นมูดังจึงเป็นช่องทางหนึ่ง ที่ทำให้ผู้หญิงมีอำนาจ และมีบทบาทในชุมชน

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อเรื่องต้นกำเนิดของมูดังว่า ‘เจ้าหญิงองค์หนึ่งกลายเป็นเทพธิดาผู้รักษา’ จึงส่งผลต่อความเชื่อที่ว่า ผู้หญิงมีความเชื่อมโยงกับพลังวิญญาณมากกว่าผู้ชาย ในปัจจุบัน ยุคที่ผู้คนหาทางออกในชีวิตไม่ได้ และศาสนาที่ตัวเองนับถือหรือยึดเหนื่ยว ไม่สามารถให้คำตอบแก่พวกเขาได้ ลัทธิมูซก หรือ การทรงเจ้า จึงเป็นเสมือนหนทางระบายออกของผู้คน

[โอแอซุน เธอเก่งมาก! ขอบคุณที่ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้]

ใครที่ดูซีรีส์ ‘ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน(When life gives you tangerine) คงจะเห็นการตีความชื่อเรื่องจากนักวิจารณ์หลายๆ คนไปแล้วว่า ส้มในที่นี้ อาจจะหมายถึง สีสันและรสชาติของชีวิต ที่หลากหลายเหมือนกับผลส้มที่มีทั้งรสเปรี้ยว และหวาน ชีวิตไม่ได้มีแต่ความสุขหรือความทุกข์เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานของทั้งสองอย่าง “รสเปรี้ยว” คือช่วงเวลาที่ยากลำบาก ส่วน “รสหวาน” คือช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ

ส้มแมนดาริน (; tangerine) ในอดีตเป็นผลไม้หายาก และมีค่ามากในราชสำนักโชซอน ส้มจากเชจูเคยถูกใช้เป็นเครื่องบรรณาการแก่กษัตริย์ และเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ  ปัจจุบันการปลูกส้มเป็นอุตสาหกรรมหลักของเชจู และเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกสำคัญ เพราะเกาะแห่งนี้ มีดินภูเขาไฟที่อุดมสมบูรณ์ และอากาศอบอุ่น ซึ่งเหมาะกับการปลูกส้มพันธุ์ต่าง ทำให้ส้มเชจูมีรสหวานอมเปรี้ยว สดชื่น และมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์

cr.Netflix

นอกจากเราจะมองเปรียบส้มกับรสชาติของชีวิตแล้ว ถ้าย้อนกลับไปมองชื่อเรื่องภาษาเกาหลีของซีรีส์เรื่องนี้จริงๆ폭싹 속았수다ซึ่งเป็นภาษาถิ่นของเกาะเชจู มีความหมายว่า ‘ขอบคุณที่พยายามมาอย่างยากลำบาก’ หรือ ‘ขอบคุณที่เหน็ดเหนื่อยกับมันมานะครับ/ค่ะ’ (정말 수고하셨습니다.)  ในเกาหลีจะมีวัฒนธรรมแสดงความขอบคุณ และการให้กำลังใจแก่ผู้อื่นหลังทำงานหนัก หรือหลังจากที่คนนั้นทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความยากลำบากจนประสบความสำเร็จ

.

คำขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก และความยากลำบากนี้ หากให้คาดเดาแล้ว คงเป็นน้ำเสียงของผู้เขียนบทที่อยากส่งไปถึง กวานชิก และแอซุน  ตัวละครหลักของเรื่องที่ต้องฟันฝ่าชีวิตในแต่ละช่วงวัยมาอย่างนักสู้ ต้องเจอกับอุปสรรคนับไม่ถ้วน ต้องล้มเลิกที่จะทำตามความฝันการเป็นกวี ต้องสูญเสียคนสำคัญในครอบครัวไป ต้องเสียสละเป็นเสาหลักของครอบครัว แต่เขาและเธอก็ไม่เคยพูดคำว่า ‘เหนื่อย‘ และ ‘อยากหยุดทำ’ ออกมาเลย

ความยากลำบากในชื่อเรื่องภาษาเกาหลี กับชื่อเรื่อง ‘ส้ม’ ในภาษาอังกฤษ มีส่วนร่วมประการหนึ่งอยู่ ตรงที่ แม้ต้นส้มบนเกาะเชจูต้องเผชิญกับ ลมแรงจากทะเล เกลือจากน้ำทะเล และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ต้นส้มก็ยังสามารถออกผลได้ เปรียบได้กับมนุษย์เรา ที่ต้องเผชิญความยากลำบาก แต่ยังสามารถเติบโตและออกผลสำเร็จ

และสุดท้าย… ‘ส้มบนเกาะเชจู‘ ไม่ได้เป็นตัวแทนของ ‘รสชาติ’  และ ‘ความยากลำบาก’ เสมอไป แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของ ‘เส้นทางเดินในชีวิต’  ผลส้มแม้จะเติบโตมาจากต้นเดียวกัน แต่บางผลอาจจะหวาน บางผลอาจจะเปรี้ยวก็ได้ คนเราก็จะเช่น ทุกคนมีประสบการณ์ชีวิตและเส้นทางเดินของตัวเอง  เหมือนในซีรีส์ที่ ‘กึมมยอง’ ลูกสาวคนโตของแอซุน เลือกทางเดินชีวิตที่แตกต่างจากแม่ของตัวเอง และแอซุนเองก็หวังเช่นนั้นที่จะให้ลูกสาวของเธอไม่ใช้ชีวิตเหมือนอย่างที่เธอเป็น

cr.Netflix

ยิ้มไว้ในวันที่ส้มไม่หวาน ไม่เพียงแต่พาผู้ชมไปดื่มดำกับรสชาติของชีวิตผู้หญิงเกาหลีบนเกาะเชจูในช่วงวัยต่างๆ… แต่ยังชวนให้คนดูตั้งคำถามกับ ‘ค่านิยม’ และ ‘แนวคิด’ที่เป็นเหมือนโซ่ตรวน และพันธการฉุดรั้งชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งไว้ ว่าสมควรแล้วหรือที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะถูกกดทับไว้

“ไอ้การศึกษาเฮงซวย แม่ได้แต่ดิ้นรนอยากจะเรียนแทบตาย

แต่ลูกสาวของโอแอซุน ได้ไปแลกเปลี่ยนต่างประเทศเลยนะ

สดชื่นขนาดไหนฮะ สะใจจริง ๆ

…ความฝันของแม่ส่งมาถึงฉัน…ทั้งหนักอึ้งและร้อนแรง…

สำหรับแม่ถ้าพวกแกได้โบยบิน แม่รู้สึกเหมือนได้บินเองเลย”

 

อ้างอิง

ทิวดอร์, แดเนียล. (2565). มหัศจรรย์เกาหลี: จากเถ้าถ่านสู่ มหาอำนาจทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม (ฐิติพงษ์ เหลืองอรุณเลิศ, แปล). บุ๊คสเคป.

สาขาวิชาภาษาเกาหลี ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ. (2566). หลักสูตรการอบรมเพื่อผลิตผู้สอนภาษาเกาหลีชาวไทย ประจำปี 2566. คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

https://kyotojournal.org/uncategorized/haenyeo-the-sea-women-of-south-korea/

https://ich.unesco.org/en/RL/culture-of-jeju-haenyeo-women-divers-01068

https://artsandculture.google.com/story/protecting-haenyeo-ritual-and-spiritual-practices-of-jeju-haenyeo-jeju-provincial-self-governing-heanyeo-museum/ugVh00gOmp3-KQ?hl=en

https://thisismold.com/series/methods-and-provisions/haenyeo-jeju-island-design-diving

https://nippaku.wordpress.com/2013/05/26/the-matriarchal-family-structure-on-jeju-island-part-2/

https://www.ijfmr.com/papers/2024/1/12322.pdf

https://www.formulaboats.com/blog/boating-myths-and-superstitions/

https://myseoulbox.com/blogs/seoul-blog/8-interesting-myths-and-legends-of-jeju-island

https://www.visitjeju.net/kr/jejuStory/culture?tap=four&menuId=DOM_000001703003004000

https://www.chosun.com/site/data/html_dir/2015/08/04/2015080401714.html

https://www.korea.net/NewsFocus/Culture/view?articleId=131449

https://biroso.net/blogs/trends-inspiration/the-winter-solstice-in-korea-dongji-a-celebration-with-red-bean-porridge

https://www.visitjeju.net/en/themtour/view?contentsid=CNTS_300000000012487&menuId=DOM_000005000000000221

https://joeyrositano.myportfolio.com/shamans

https://honoraryreporters.korea.net/board/detail.do?articlecate=1&board_no=23712&tpln=1

https://www.mdpi.com/2077-1444/15/1/60

https://gwangjunewsgic.com/arts-culture/korean-culture/the-secrets-behind-red-beans/

https://myseoulbox.com/blogs/seoul-blog/korean-belief-5-foods-believed-to-repel-evil-spirits

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า