SHARE

คัดลอกแล้ว

เมื่อแรกที่เปิดดู La Révolution เรารู้เพียงแต่ว่ามันเป็นซีรีส์ที่นำประวัติศาสตร์ช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสมาตีความใหม่ หรือที่เขาใช้คำว่า Reimagined – จินตนาการขึ้นใหม่ แต่จากใบปิดหน้าหนังที่ดูมาแนวประวัติศาสตร์ พอได้ดูเนื้อหาข้างในเลยได้รู้ว่ามัน เหนือจิตนาการกว่าที่คิด เพราะทุกอย่างถูกเล่าผ่านสัญลักษณ์ในรูปแบบของหนังซอมบี้ 

เรื่องย่อ 

เรื่องราวเกิดขึ้นในมลฑลมองตาจี ประเทศฝรั่งเศ ค.ศ. 1789 ปีเดียวกับที่มีการปฏิวัติฝรั่งเศส ตามประวัติศาสตร์จริง เรื่องเริ่มด้วยการตายของ เฮเบค หญิงสาวชาวนาคนหนึ่ง ซึ่งทำให้โอก้า ชายผิวดำผู้มีฉายาว่ามนุษย์กินคนถูกจับ แต่โจเซฟ หมอผู้รักษาคนในคุก พยายามพิสูจน์ด้วยหารสืบตามหลักฐานที่มีว่าโอก้าเป็นผู้บริสุทธ์ ทำให้เขาค้นพบโรคประหลาดที่มากับเลือดของฆาตกรตัวจริง

โรคจาก ‘เลือดสีน้ำเงิน’ ที่ทำให้คนตายไปแล้วฟื้น กลายเป็นอมตะ แต่จะกระหายเลือดเนื้อคน นอกจากนี้ยังมีเอลีซพี่สาวของแมเดอลินท่ีเข้ามาพัวผันกับเรื่องนี้ เพราะกลุ่มภารดรที่ต้องการเรียกร้องสิทธิ์ของชาวบ้านคืนหลังโดนจากผู้มีอำนาจขูดรีดมาเป็นเวลานาน ทำให้เธอได้กลับมาเจอกับ อัลแบร์ คนรักเก่าที่เธอเข้าใจว่าเขาตายไปแล้วเมื่อ 12 ปีก่อน 

ต้องใช้เวลา 2 – 3 ตอนที่จะค่อยๆ เก็ต แต่เมื่อเราได้ทำความรู้จักกับมลฑลมองตาจีนี้ดีแล้ว เราจะค่อยๆ เห็นความหมายของทุกสิ่งปรากฏชัดแก่สายตา และนี่คือ 5 ความหมายที่ซ่อนอยู่ ที่ถ้าคุณรู้ จะทำให้การดู La Revolution สนุกขึ้นอีกหลายเท่าและได้รู้ประวิตศาสตร์ชาติฝรั่งเศสไปในตัว 

  1. เลือดสีน้ำเงิน – ตัวแทนของอำนาจและการสืบทอด
    แค่คำว่า ‘เลือดสีน้ำเงิน’ เองก็สื่อได้ชัดเจนแล้วว่ามันเกี่ยวข้องจากเจ้าขุนมูลนายแน่ๆ และสิ่งที่ทำให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นคือการที่กำหนดโรคนี้มีที่มามาจากในวังแวร์ซาย ที่อยู่ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กษัตริย์องค์สุดท้ายของฝรั่งเศส และการที่ทำให้ผลข้างเคียงของการได้รับเลือดนี้เป็นการที่ประสาทสัมผัสไวขึ้น แข็งแกร่งขึ้น และเป็นอมตะ ความสามารถส่งต่อได้เพียงได้รับเลือดนั้น สะท้อนภาพของอำนาจเหนือคนทั่วไปที่ส่งต่อได้ผ่านสายเลือดหรือความความพอใจ การสืบทอดอำนาจที่ไม่มีที่สิ้นสุด 
  1. อาการของโรคระบาด –  การกดขี่ทางชนชั้น
    การที่อาการของโรคที่กระหายเนื้อเลือดเนื้อมนุษย์ ก็สื่อถึงการที่ชนชั้นสูงในฝรั่งเศสเอาเปรียบชาวบ้าน ขูดรีดภาษี เพราะตามประวัติศาสตร์ที่ชาวบ้านออกมาเรียกร้องสิทธิ์ก็เพราะระบอบที่แบ่งชนชั้นเป็นสามกลุ่มเรียกว่า ‘Estates’ หรือ ฐานันดร ชั้นสูงสุดคือกษัตริย์ ผู้ถืออำนาจจาก ‘Divine Rights’ หรือเทวสิทธิราชย์ ที่เชื่อว่ากษัตริย์ได้รับอำนาจโดยตรงจากพระผู้เป็นเจ้า และกระจายอำนาจไปสู่ ชนชั้นรองลงมาซึ่งก็คือฐานันดรหนึ่งและสอง อย่าง ขุนนาง และนักบวชแคทอลิกในขณะที่ส่วนล่างสุดของปีรามิดคือ คือ ชาวบ้าน พ่อค้า ชาวนา ฯลฯ ซึ่งมีแต่ชาวฐานันดรสามเหล่านี้เท่านั้นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นเงินเป็นผลผลิตต่างๆ ไม่ใช่แค่ให้กับกษัตริย์แต่กับพวกขุนนางและชนชั้นอื่นๆ ที่อยู่เหนือพวกเขาด้วย และหากปีไหนที่ผลผลิตขาดแคลนชาวบ้านก็แทบไม่เหลืออะไรจะกิน การกระหายเลือดของการได้รับเลือดสีน้ำเงินจึงสื่อถึงการที่ชนชั้นที่กุมอำนาจเสวยสุขบนเลือดเนื้อและหยาดเหงื่อแรงงานของชาวบ้านนั่นเองสิ่งที่ยืนยันความหมายของสัญญลักษณ์นี้ได้ดีที่สุดคือ ประโยคที่โจเชฟพูด ซึ่งถูกนำมาย้ำถึงสองครั้งในซีรีส์เมื่อคนในภารดรได้เสนอให้อพยบหนีโรคระบาดเสีย แต่เขาปฏิเสธโดยให้เหตผลว่า

 “ถ้าเราไป ทางเดียวที่จะอยู่รอดได้คือต้องหลบๆ ซ่อนๆ แต่เราจะได้เห็นโรคระบาดที่เลวร้ายที่สุดอันตรายที่สุดและอยุติธรรมที่สุดที่มนุษยชาติเคยพบเจอ หรือไม่เราก็สู้ ไม่ใช่เพื่อตัวเราเอง หรือเพื่อชีวิตของเรา แต่เพื่อเหตุผลที่ยิ่งใหญ่กว่า เพื่อคนอื่นๆ ผู้คนที่เราไม่รู้จักด้วยซ้ำ และที่อาจไม่มีวันรู้ชื่อของเรา ใช่ศัตรูของเราร่ำรวยและมีอำนาจมาก แต่ผมจะบอกความลับให้นะ พวกเขากลัวเรา เพราะพวกเขารู้ว่าถ้าเรารวมกำลังกัน พวกเราจะมีมากกว่าเยอะ มากพอที่จะป้องกันสิ่งที่เลวร้ายที่สุด” นี่คือประโยคที่ตอกย้ำว่านี่ไม่ใช่แค่การต่อสู้กับโรค แต่เป็นการต่อสู้ระหว่างชนชั้นอย่างชัดเจน

  1. การตัดคอ – วิธีการสังหารที่เท่าเทียม
    ทางเดียวที่จะฆ่าผู้ที่ติดโรคร้ายได้คือการตัดหัวเท่านั้น คล้ายๆ ในภาพยนตร์ซอมบี้หลายเรื่องก็จริง แต่พอมาอยู่ในบริบทของหนังเรื่องนี้ก็อดเชื่อมโยงกับการประหารชีวิตด้วยกีโยตินไม่ได้ เพราะก่อนการปฏิวัติการประหารด้วยการตัดคอถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น ในขณะที่ชาวบ้านจะโดนประหารตามตำราของยุคกลางที่แสนจะโหดร้าย จนมีการคิดให้นำกีโยตินมาใช้เป็นเครื่องมือประหารมาตราฐานเพื่อให้การะประหารเป็นไปอย่างรวดเร็วและตัดความเจ็บปวดที่ไม่จำเป็นออกไป และกีโยตินกลายเป็นเครื่องประหารสำหรับทุกชนชั้น และเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ถูกใช้มากที่สุดในการปฏิวัติฝรั่งเศส หลังจากการที่หมอโจเชฟ-อินแนซ กิโยตินไดเสนอให้ใช้เครื่องตัดหัวใน ค.ศ. 1789  หลังจากนั้นกีโยตินได้ลิ้มรสเลือดของคนทั้งเจ้าทั้งขุนนาง และชาวบ้านหลายหมื่นคน ในจำนวนนั้นก็มีพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอังตัวเน็ตต์ด้วย ซึ่งหลังการตัดคอในซีซั่นนี้ เชื่อว่าเราจะได้เห็นภาพจุดกำเนิดของเครื่องประหารในตำนานนี้ ในซีซั่นต่อๆ ไปแน่นอน เพราะหนึ่งในตัวเองของเรื่องก็มีหมอ ‘โจเซฟ กีโยติน’ เหมือนในประวัติศาสตร์เป๊ะ 
  1. จุดเริ่มต้นคือ สาวชาวนาคนหนึ่ง – ภาพสะท้อนของชนชั้นล่าสุด ผู้เป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม

การที่ให้จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเริ่มจากสาวชาวนาคนหนึ่ง เป็นเหมือนการอุทิศ (Tribute) ให้กับทั้งผู้หญิงและชาวนาที่เป็นชนชั้นล่างสุดของสังคม (ผู้หญิงที่เป็นชาวนาคือล่างของล่างไปอีก) แต่เป็นหนึ่งในผู้จุดประกายการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ การที่มารีแอนน์สาวชาวนาธรรมดา เป็นผู้นำภารดรที่มุ่งหมายจะปฏิวัติอำนาจ อาจเป็นการอ้างอิงถึง Woman’s March on Versailles เหตุการณ์ที่ชาวบ้านหญิงจำนวนมากบุกพระราชวังแวร์ซายเพื่อประท้วงเรื่องขนมปังซึ่งเป็นอาหารหลักของชาวบ้านแพงและขาดตลาด แม้ว่าการประท้วงครั้งนี้จะมีผู้ชายเป็นหนึ่งในแกนนำด้วย แต่ก็ทำให้เห็นพลังของผู้หญิงในการปฏิวัติครั้งนี้อยู่

  1. ชาวบ้านที่มีเลือดสีน้ำเงิน – ความไม่เท่าเทียมที่ซ่อนอยู่ รอวันที่ปะทุ

ทุกคนรู้แฟนคลับรู้ว่าสุดท้ายแล้ว หลังปฎิวัติสำเร็จฝรั่งเศสจะถูกนำโดย นโปเลียน ผู้ตั้งตัวเป็นจักรพรรดิองค์แรกของฝรั่งเศส โดยเริ่มจากการเป็นทหารธรรมดานี่เอง เมื่อเราเห็นตัวละครอัลแบร์ ชาวบ้านผู้มีเลือดสีน้ำเงินไหลเวียนในกายเราเลยอดนึกถึงนโปเลียนไม่ได้ และยิ่งมันถูกกล่าวในเรื่องว่าแม้อัลแบร์จะเรียนรู้ที่จะควบคุมความกระหายได้ แต่อาการจะรุนแรงมากขึ้น ควบคุมยากขึ้นทุกที ก็ต้องรอลุ้นต่อไปว่าในซีซั่นหน้าๆ อัลแบร์จะเป็นอย่างไรต่อไป ยังควบคุมความกระหายของตนได้ไหมหรือจะผ่ายแพ้แก่โรคเลือดน้ำเงิน

หลังจาก 8 ตอนจบไปเรายังมีอะไรให้รอดูอีกมากในซีซั่นหน้าเมื่อกลุ่มภารดรถึงปารีสซึ่งถูกปูไว้อย่างยิ่งใหญ่ว่า 

“สิ่งที่ผู้มีอำนาจไม่รู้ก็คือวันหน้า ความโกรธเคืองนี้จะรวมกัน นี่ไม่ใช่การทำนาย แต่มันคือความแน่นอน แล้วเสียงของคนนิรนามนับพันจะดังขึ้นมาว่า ไม่ ฉันจะไม่ยอมอีกต่อไป และเหล่าข้าทาสในวันวานจะกลายเป็นผู้กบฏของวันนี้”

ต้องรอติดตามว่าเราจะได้เห็นประวัติศาสตร์ถูกจินตาการต่อไปในทิศทางไหน 

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า