หลายเดือนที่ผ่านมาเราคงเห็นข่าวประเทศเพื่อนบ้านอย่าง สปป.ลาว กำลังประสบวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง หลังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ เงินกีบอ่อนค่า ขาดแคลนน้ำมัน
จนถึงเดือน ส.ค. สถานการณ์ค่าเงินกีบและเงินเฟ้อของลาวดูเหมือนจะยังไม่ดีขึ้น
โดย ณ วันที่ 8 ส.ค. 2565 ค่าเงินกีบอ่อนค่าทะลุระดับ 15,000 กีบต่อดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งอ่อนค่าลงถึง 57% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ และ 44% เมื่อเทียบกับเงินบาท นับจากเดือน ก.ย. 2564 เป็นต้นมา และอ่อนค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินกีบนั้นเป็นไปตามภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น ส่วนราคาน้ำมันและสินค้าต่างๆ ก็พุ่งสูงขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน
แต่ปัญหาหลักคือลาวเป็นประเทศที่จำเป็นต้องพึ่งพาการนำเข้าในสัดส่วนสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของ สปป.ลาวเร่งตัวขึ้น เกิดปัญหาการขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ และปัญหาการขาดแคลนสินค้าโดยเฉพาะน้ำมันเป็นวงกว้าง
EIC ชี้ว่า ต้นตอของวิกฤตในปัจจุบันของลาวนั้นมาจากปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจที่เปราะบาง
พัฒนาการของเศรษฐกิจโลกในช่วงที่ผ่านมา เช่น การดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวในประเทศเศรษฐกิจหลัก ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อลาว
คือทำให้ลาวกลายเป็นประเทศที่มีภาระหนี้สาธารณะสูง จากการร่วมลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จนขาดดุลการคลังต่อเนื่อง
ขณะที่ช่องทางการระดมทุนของลาวเริ่มมีจำกัดและมีต้นทุนสูงขึ้น หลังถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับเก็งกำไร (Speculative grade)
นอกจากนี้ ลาวมีระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่ต่ำ ท่ามกลางการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้เงินกีบอ่อนค่าและเป็นความเสี่ยงต่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศและการนำเข้าสินค้าจำเป็นต่อไป
แม้จะวิกฤตหนัก แต่ EIC ประเมินว่าวิกฤตครั้งนี้ของลาวจะไม่รุนแรงเท่าศรีลังกา เพราะในปัจจุบันแม้หนี้สาธารณะของลาวจะสูงขึ้นมาก แต่ยังต่ำกว่าศรีลังกา และระดับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเทียบมูลค่านำเข้าและหนี้ต่างประเทศระยะสั้นยังสูงกว่า
นอกจากนี้ ลาวยังมีช่องทางการระดมทุนที่สามารถเข้าถึงได้ ทั้งจากการกู้ยืมเงินในตลาดพันธบัตรต่างประเทศ เช่น ตลาดไทย ซึ่งล่าสุดลาวได้เปิดขายพันธบัตรวงเงินไม่เงิน 5,000 ล้านบาทในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา
หรือหน่วยงานระหว่างประเทศ และการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจผ่านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ไม่ทำกำไร และการส่งเสริมการลงทุนและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน เพื่อดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติและผลักดันการส่งออก
ทั้งนี้ นโยบายการคลังและการเงินใน ลาวในช่วงที่ผ่านมา ได้เน้นการประคองเศรษฐกิจเป็นหลัก แต่เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและอาจทำให้เสถียรภาพในประเทศอ่อนแอลงอีก
ในระยะต่อไป EIC ประเมินว่า ลาวควรเร่งเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ โดยเฉพาะกับจีน ซึ่งมีแนวโน้มเข้ามาช่วยเหลืออยู่แล้ว เนื่องจากลาวเป็นประเทศสำคัญในโครงการ Belt and Road Initiative ในภูมิภาคอาเซียน
แล้วไทยจะได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหน อย่างไร?
EIC คาดว่าผลกระทบต่อไทยจะมีผ่าน 4 ช่องทาง ได้แก่ ภาคการส่งออก การท่องเที่ยว การลงทุนโดยตรงจากไทย และภาคการเงิน
สำหรับภาคการส่งออกไทย ผลกระทบหลักจะมาจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ลาวและอุปสงค์ที่ลดลง แต่ในภาพรวมคาดว่าจะยังขยายตัวได้ โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลัก
ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวจากลาว ความเสี่ยงหลักมาจากกำลังซื้อที่ลดลงตามเงินกีบที่อ่อนค่า แต่จำนวนนักท่องเที่ยวคาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ
ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากไทยสู่ลาวในโครงการเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำนั้น ต้องเฝ้าระวังความเสี่ยงการชำระค่าไฟจากลาวที่อาจถูกเลื่อนออกไป ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นในอนาคต
ตลอดจนความเสี่ยงด้านเสถียรภาพการเงินในประเทศที่ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง แต่อาจมีความเปราะบางมากขึ้นในช่วงต่อไป
อย่างไรก็ดี ในภาพรวมคาดว่าจะได้รับผลกระทบจำกัด เนื่องจากมีผู้ซื้อไฟฟ้าหลักคือไทย และมีการเซ็นสัญญา PPA เรียบร้อยแล้ว