แต่งตั้งเเวดวง ‘ศาล’ วุ่นไปกันใหญ่ เหตุขาดคุณสมบัติ-โดนร้องเรียน หวั่นกระทบศรัทธาสถาบันตุลาการไทย

ห้วงเวลานี้บุคลากรในแวดวงตุลาการและสังคมส่วนหนึ่ง น่าจะให้น้ำหนักและเกาะติดการยื่นหนังสือร้องเรียนของ “ชำนาญ รวิวรรณพงษ์” ไปยังประธานศาลฎีกาในฐานะประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(กต.)และกรรมการกต. รวมทั้งสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มาระยะหนึ่งให้ตรวจสอบข้าราชการศาลยุติธรรมบางคนเกี่ยวกับการใช้แอพลิเคชั่นไลน์ “ล็อบบี้หาเสียงการเลือกกต.ผู้ทรงคุณวุฒิ” ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

แต่ปรากฏว่าเรื่องนี้ยังไม่คืบไปไหน…..ทั้งที่นายชำนาญร้องเรียนไปหลายเดือนแล้ว แต่ผู้ใหญ่ในวงการตุลาการและฝ่ายที่เกี่ยวข้องกลับเลือกที่จะนิ่งและไม่อธิบายความในเรื่องนี้?

ที่ผ่านมานายชำนาญอ้างว่าพบผู้ที่ฝ่าฝืนสามรายในการล็อบบี้หาเสียงที่ฝ่าฝืนกฎหมายและแนวปฏิบัติที่ประธานศาลฎีกาวางไว้ และพบว่าหนึ่งในนั้นที่ฝ่าฝืนเป็นกต.เสียด้วย…..(ก.ต.ชุดปัจจุบันจะมีส่วนในการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสำนักงานศาลยุติธรรมประจำปีนี้)

และช่วงนี้อยู่ในระยะโค้งสุดท้ายเกี่ยวกับการแต่งตั้งโยกย้ายบุคลากรในวงการตราชั่ง หากกต.บางคนที่โดนพาดพิงว่ากระทำการมิสมควรและฝ่าฝืนกติกา แต่กลับมีส่วนแต่งตั้งโยกย้ายบุคลาการในองค์กรและตัวเองด้วยนั้น

โดยเมื่อวันที่13 ส.ค. ที่ผ่านมานายชำนาญทำหนังสือถึงประธานศาลฎีกาในฐานะประธานกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม(กต.)และกรรมการกต.เรื่องคัดค้านการแต่งตั้ง “นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล” รองประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์ ให้ดำรงตำแหน่งเป็นประธานแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในศาลอุทธรณ์ เพราะนายชำนาญชี้ว่า นายอนุรักษ์ คือ กต.คนนั้นที่ล็อบบี้หาเสียงตามข้อร้องเรียนที่เคยยื่นเรื่องไว้เมื่อช่วงเวลาที่ผ่านมา

นายชำนาญ รวิวรรณพงษ์ อดีตประธานแผนกคดีล้มละลายในศาลฎีกา / นายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กุล รองประธานแผนกคดียาเสพติดในศาลอุทธรณ์

ความตอนหนึ่งในหนังสือร้องเรียนล่าสุดของนายชำนาญระบุว่า “นายอนุรักษ์ ซึ่งเป็นกต.ผู้ทรงคุณวุฒิในศาลอุทธรณ์ในขณะนั้นย่อมมีหน้าที่โดยตรงในการวินิจฉัยการเลือกกต.ผู้ทรงคุณวุฒิในขณะนั้น แต่ปรากฏว่านายอนุรักษ์พบว่าผู้พิพากษาหลายรายโพสต์ข้อความให้มีการลง งดเว้นการลงคะแนนเลือกบุคคลเป็นกต.ผู้ทรงคุณวุฒิให้ผู้สมัครรายหนึ่งรายใดอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและจริยธรรม นายอนุรักษ์กลับไม่ห้ามปรามและนายอนุรักษ์กลับเข้าร่วมด้วยในการหาเสียงให้นายไผทชิตและนายจำนง การกระทำที่ผิดวินัยของ “นายอนุรักษ์” ที่มีผลต่อการแต่งตั้งโยกย้ายตามมาตรา 17 วรรค 4 แห่งพ.ร.บ.ระเบียบฯยังอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามมาตรา172 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ”

“ย่อมเป็นการไม่เหมาะสมที่กต.จะให้ความเห็นชอบและนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้งนายอนุรักษ์ ให้ดำรงตำแหน่งประธานแผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบในศาลอุทธรณ์ ที่ยังมีคดีอยู่ที่สำนักงานป.ป.ช. และยังคัดค้านนายไผทชิตและนายจำนง กต.ผู้ทรงคุณวุฒิที่ร่วมลงมติในครั้งนี้ เพราะเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงในเรื่องนี้” บางส่วนของหนังสือร้องเรียนของนายชำนาญเสนอไปยังประมุขฝ่ายตุลาการบ่งชี้ไว้

ข้อมูลข้างต้นที่มีการพาดพิงนายอนุรักษ์นั้น สื่อมวลชนได้สอบถามฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยคำตอบของนายอนุรักษ์ในกรณีนี้มีคำตอบว่า “ไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูล ไม่ขอพูดเรื่องดังกล่าว”

สภาวะแบบนี้…น่าจะไม่ส่งผลบวกกับฝ่ายตุลาการหากยังไม่มีความกระจ่างชัด เพราะมีโอกาสที่ผู้ชุมนุมที่ต้องการปฏิรูปประเทศและกำลังขยับผู้คนออกมาเคลื่อนไหวทั้งบนถนนและโลกออนไลน์แบบรายวันหยิบไปใช้ในการเคลื่อนไหวเพื่ออ้างเหตุผลของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศตามอำนาจอธิปไตยก็เป็นได้ เพราะฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติก็ตกเป็นเป้าของผู้ชุมนุมในการเรียกร้องไปแล้ว หากฝ่ายตุลาการมีข้อหมองมัวตามมาอีก คงไม่ใช่ผลดีกับบ้านเมืองในภาพรวม

ดังนั้นฝ่ายตุลาการควรรีบชี้แจงแถลงไขเพื่อผ่อนหนักให้เป็นเบา..และชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดในเรื่องที่นายชำนาญร้องเรียนนั้น…น่าจะสวยงามกว่า

เรื่องนี้สอดรับกับกระเเสข่าวที่สำนักข่าวแห่งหนึ่งรายงานไม่นานมานี้ว่า “นายประสิทธิ์ เจริญถาวรโภคา” รองประธานศาลฎีกา ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม (อ.ก.ต.) ได้ประกาศลาออกกลางที่ประชุม เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2564 ที่ผ่านมา เพราะไม่เห็นด้วยกับการทำหน้าที่ของ อ.ก.ต. เสียงข้างมากในการแต่งตั้งผู้พิพากษารายหนึ่ง ให้เป็นผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา (หน.ฎีกา) ทั้งที่ถูกร้องเรียนว่ามีส่วนเข้าไปพัวพันกับการแทรกแซงกระบวนการต่อสู้คดีข้อพิพากษาที่ดินจำนวน 46 แปลง ระหว่างบริษัทเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่งกับคู่กรณี ซึ่งมีคดีฟ้องร้องกันจำนวนหลายคดีทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง จนกระทั่งบริษัทต้องยอมจ่ายเงินชดเชยจำนวน 400 ล้านบาท

หากภาวะเช่นนี้บังเกิดในวงการตราชั่งไปเรื่อยๆ….และไม่มีการอธิบายกับสังคมนั้น จะสะเทือนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสำนักงานศาลยุติธรรมประจำปีนี้หรือไม่….เพราะนายอนุรักษ์ “ถือเป็นหนึ่งในกต.ที่มีส่วนร่วมพิจารณาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการสำนักงานศาลยุติธรรมด้วย” และในปีนี้นายอนุรักษ์ได้ “ขยับตำแหน่ง” ทั้งที่การร้องเรียนให้ตรวจสอบการล็อบบี้หาเสียงตามที่นายชำนาญระบุนั้น “ยังไม่มีผลสรุป” ดังนั้น ผู้บริหารสำนักงานศาลยุติธรรมต้องเร่งขยับให้เรื่องยุติโดยเร็ว

สมมติว่า หากวันข้างหน้าผลสรุปจากข้อร้องเรียนออกมาในทางที่ไม่เป็นคุณกับนายอนุรักษ์ ผู้ใหญ่ในวงการตราชั่งต้องชี้แจงว่า จะมีบทสรุปอย่างไรกับข้อกล่าวหาของนายชำนาญที่มีต่อนายอนุรักษ์

หรือหากผลสรุปออกมาในทางที่เป็นคุณกับนายอนุรักษ์ ข้อกล่าวหาข้างต้นน่าจะจบและมีโอกาสที่นายอนุรักษ์จะได้ทำงานได้อย่างภาคภูมิหรือก้าวหน้าในชีวิตราชการอย่างไม่มีข้อครหา เพราะทราบว่าอายุราชการของนายอนุรักษ์นั้นจะมีถึง ปี 2568

ดังนั้น ผู้ใหญ่ในวงการตุลาการควรเร่งคลายความกระจ่างในสภาวะข้างต้น เพื่อเรียกศรัทธาของสถาบันตุลาการให้กลับคืนมา ไม่เช่นนั้นคนวงนอกอาจจะสิ้นความนิยมกับพฤติกรรมของบุคลากรบางรายในแวดวงตุลาการที่อาจทำให้มลทินเกิดกับหนึ่งในสามเสาประชาธิปไตยของประเทศอีกครั้งหนึ่ง