เศรษฐกิจ ‘LGBTQ’ ปูพรมสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ โอกาสธุรกิจไทย

การเดินทางของร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมในประเทศไทยใช้เวลาจากจุดตั้งต้นที่ต้องการผลักดันเรื่องนี้มานานกว่า 22 ปีแล้ว จนวันนี้ (21 ธ.ค.66) มีความคืบหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรผ่านวาระรับหลักการแล้ว (วาระ1) จากนี้เป็นไปได้สูงที่ร่างกฎหมายนี้กำลังจะมีผลบังคับใช้ในปีหน้าแน่นอน

หลักใหญ่ของกฎหมายนี้คือ การเปิดโอกาสให้คนที่มีความหลากหลายทางเพศสมรมได้ถูกกฎหมาย แก้ไขจากที่เดิมอนุญาตเฉพาะ ‘เพศชาย’ กับ ‘เพศหญิง’ จดทะเบียนสมรสได้เท่านั้น แต่จะปรับเปลี่ยนเป็นการสมรสระหว่าง ‘บุคคล’ ไม่ว่าเพศใด

แม้ประเด็นทางกฎหมายจะเดินทางมาช้าจนเกือบไม่ทันกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป แต่ถ้าไปดูในภาคธุรกิจ ต่างปรับตัวไปกับกลุ่ม LGBTQ กันมาหลายปีแล้ว ในต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึง ซีอีโอที่กล้าแสดงตัวตนว่าเป็นกลุ่ม LGBTQ อย่าง ทิม คุก ซีอีโอแอปเปิลนั้น ก็ชัดเจนว่าเป็นแนวหน้าเคลื่อนไหวสนับสนุนเพื่อความเท่่าเทียมในสังคม รวมไปถึงแบรนด์สินค้าดังอื่นๆ ก็ออกมาสนับสนุนสิทธิความหลากหลายและความเท่าเทียมเช่นกัน มีการออกสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่แสดงสัญลักษณ์ของ LGBTQ มาทุกปี

ในประเทศไทยธุรกิจที่ปรับตัวรับกระแส LGBTQ คือกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ีมีบริษัทหลายแห่งให้ความสนใจกลุ่มนี้และออกแบบวิธีให้ คู่รัก LGBTQ ที่อยากสร้างครอบครัวอยู่ด้วยกันสามารถกู้ซื้อบ้านด้วยกันได้

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจให้บริการทางการเงินที่ให้สินเชื่อบ้านกลุ่มนี้ด้วยเช่นกัน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเครือญาติ หรือคนในครอบครัวเดียวกันกับผู้กู้อีกต่อไป

SCB EIC วิเคราะห์ว่า การปูพรมรอรับตลาด LGBTQ ด้วยการสร้างองค์ประกอบธุรกิจที่ให้ความเท่าเทียมกับคนกลุ่มนี้ ยังจะเป็นผลดีต่อการเปิดประตูโอกาสในอนาคต สังเกตได้จากในโลกตะวันตกที่องค์กรใหญ่และมีผลประกอบการสูง ได้แสดงบทบาทเป็นผู้สนับสนุนที่เข้มแข็ง และสะท้อนเป็นผลบวกทันที เมื่อโลกตลาดทุนอ้าแขนรับธุรกิจเป็นมิตรต่อความเท่าเทียมอย่างเป็นทางการ

ในสหรัฐอเมริกามีการเปิดตัวดัชนีการเงิน LGBTQ100 ESG Index ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อปี 2563 เน้นจัดอันดับ 100 บริษัทใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์อเมริกาที่ช่วยผลักดันความเท่าเทียมทางเพศสูงสุด ปัจจุบันมีคอร์ปอเรทรายใหญ่ที่ติดโผ อาทิ Amazon, Apple, Microsoft, Facebook และ Netflix

จากนี้หากร่างกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทยผ่านสภาฯจนประกาศบังคับใช้ทางกฎหมายก็จะช่วยทำให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจที่มาจากกลุ่ม LGBTQ มากขึ้น

ถ้านึกภาพไม่ออกว่า การทำให้เรื่อง LGBTQ ถูกต้องแบบตัวบทกฎหมายจะเป็นประโยชน์ในภาคธุรกิจอย่างไร ลองไปดูกรณีศึกษาในสหรัฐอเมริกาที่มีกิจการกว่า 1.4 ล้านรายที่เจ้าของเป็นสมาชิกของ LGBTQ และช่วยอัดฉีดเม็ดเงินในระบบเศรษฐกิจกว่า 1.7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี

เกิดการจดทะเบียนรับรอง LGBT Business Enterprise (LGBTBE) ในบางรัฐของสหรัฐ เพื่อให้กิจการที่เจ้าของเป็นกลุ่ม LGBTQ ได้ยกระดับสิทธิในการเข้าถึงโอกาสแหล่งเงินทุน ขยายฐานตลาด หรือมีช่องทางติดต่อธุรกิจอย่างไม่ถูกกีดกันแบ่งแยกอย่างในอดีต

เป็นตัวอย่างว่า ‘กฎหมายสมรสเท่าเทียม’ จะเป็นตัวเปิดนำทางทำให้เกิด ‘เศรษฐกิจ LGBTQ’ ที่มาช่วยเพิ่มตัวเลขการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวลงได้อีกส่วนหนึ่งด้วย