กลุ่มธุรกิจธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFG) เผยทิศทางธุรกิจครึ่งหลังปี 2567 เน้นขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย คุมเข้ม NPL ตั้งสำรองลดลง ส่วนธุรกิจกองทุนคาด AUM ปีนี้โตแตะ 87,000 ล้านบาท พร้อมออกกองทุนใหม่มูลค่า 100-200 ล้านบาท มั่นใจกำไรครึ่งปีหลังพลิกบวก
‘ฉี ชิง-ฟู่’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล เอช ไฟแนนซ์เชียล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ LHFG และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH Bank กล่าวว่า ผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปี 2567 กลุ่มธุรกิจทางการเงินมีกำไรสุทธิ 891 ล้านบาท ลดลง 25.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY)
ส่วนทิศทางธุรกิจครึ่งหลังของปี 2567 ธนาคารยังคงเน้นขยายตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยยังคงเป้าหมายสินเชื่อรวมปีนี้ที่ 8-10% และมั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ได้แน่นอน ด้วยธุรกิจสินเชื่อทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังเติบโตสูง
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ธนาคารยังคงเดินหน้าคุมเข้มมั่นใจปีนี้มีโอกาสต่ำกว่าระดับ 3% เนื่องจากลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่งกลับมาเป็นปกติแล้ว ซึ่งจะทำให้การตั้งสำรองในช่วงที่เหลือของปีนี้ลดลงตามไปด้วย
ขณะที่ช่วงครึ่งหลังของปีกองทุนรวมและเทรดไฟแนนซ์ยังช่วยหนุน แม้ตลาดหุ้นไทยจะไม่คึกคัก แต่กองทุนรวมต่างประเทศ (FIF) ยังได้รับความสนใจ คาดรายได้ค่าฟีปีนี้มีโอกาสเติบโตใกล้เคียงปี 2566 ที่ระดับ 900 ล้านบาท ทำให้มั่นใจจะทำกลุ่มธุรกิจ LHFG ในช่วงครึ่งปีหลังพลิกกลับมาเติบโตได้
ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจทางการเงินแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ยังคงให้ความสำคัญกับ Sustainable Banking เพื่อมุ่งสู่การเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืน มุ่งเน้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) จากการดำเนินงานของธุรกิจธนาคาร
รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการปรับตัว สำหรับธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมของธนาคารแห่งประเทศไทย
ด้าน ‘มนรัฐ ผดุงสิทธิ’ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด หรือ LH Fund กล่าวว่า บริษัทมั่นใจสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM) ปีนี้ เติบโตเพิ่มขึ้นจากสิ้นปีที่ผ่านมาแตะที่ระดับ 87,000 ล้านบาท ขณะที่ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 AUM เติบโตสูงแตะที่ระดับ 83,9000 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทมั่นใจธุรกิจสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องสำหรับปี 2568 คาด AUM เติบโตอีกประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท
ส่วนในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมออกกองทุนรวมชุดใหม่ มูลค่าประมาณ 100-200 ล้านบาท กองทุนรวมดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินตัวใหม่ที่ยังไม่มีใครอุตสาหกรรมไทย
ซึ่งจะเป็นการลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ยังไม่ได้เป็นที่สนใจในขณะนี้แต่มีมูลค่าตลาดสูงประมาณ 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คาดกองทุนรวมชุดใหม่สามารเปิดขายได้ภายในเดือน ส.ค.2567
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 2/2567 มีมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของกองทุนรวมอยู่ที่ 5.36 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.6% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ของปี 2567
เมื่อแยกตามประเภทกองทุนพบว่า กองทุนตราสารทุนลดลง 2.8% กองทุนตราสารหนี้เพิ่มขึ้น 5.1% กองทุนรวมผสมเพิ่มขึ้น 1.8% กองทุนรวม โครงสร้างพื้นฐานและทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ลดลง 2.8%
ขณะที่กองทุนประเภทอื่นๆเพิ่มขึ้น 6.3% ในไตรมาส 2/2567 มีกำไรสุทธิ จำนวน 25.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2567 เป็นการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และเพิ่มขึ้น 25.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2566 เป็นผลจากค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายที่เพิ่มขึ้น