Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

นอกจากเมืองอู่ฮั่นของจีนที่ประกาศเปิดเมืองตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อน หลังสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มีอีกหลายประเทศในแถบยุโรปที่ประกาศและประกาศผ่อนคลายการล็อกดาวน์ เช่น สาธารณรัฐเชก ที่อนุญาตให้ประชาชนสามารถเดินทางเพื่อทำธุรกิจ เยี่ยมญาติ หรือพบแพทย์ในต่างประเทศได้ ส่วนผู้ที่อยู่ในต่างประเทศนานกว่า 2 สัปดาห์ เช่นคนขับรถบรรทุก ยังจำเป็นต้องถูกกักตัวเมื่อเดินทางกลับ

ด้านร้านค้าและร้านอาหารในสาธารณรัฐเชกจะกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้งตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนนี้เป็นต้นไป โดยทางการยังแนะให้พลเมืองสวมหน้ากากอนามัยก่อนออกจากที่พักอาศัยในช่วงเวลานี้

ส่วนสเปน ออสเตรีย รวมถึงเดนมาร์ก เริ่มมีท่าทีผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ประเทศแล้ว เพื่อช่วยกระตุ้นให้เศรษฐกิจภายในประเทศยังพอที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ ขณะที่สหราชอาณาจักร อินเดีย และฝรั่งเศส ขยายระยะเวลาออกไป เพื่อรอดูสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง หวั่นเกิดการระบาดระลอกใหม่

 

 

ทางการสเปนเริ่มอนุญาตให้บางธุรกิจ กิจการด้านการก่อสร้าง และการผลิตในภาคอุตสาหกรรมเริ่มทยอยกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง ขณะที่บาร์ ร้านค้าต่างๆ และพื้นที่สาธารณะส่วนใหญ่ยังคงปิดให้บริการไปจนถึงวันที่ 26 เมษายนนี้ โดยสเปนมียอดผู้ป่วยโควิด-19 สะสม 198,674 ราย มากเป็นอันดับที่ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา แต่รัฐมนตรีสาธารณสุขสเปนระบุว่า ผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ และยอดผู้เสียชีวิตในสเปนมีแนวโน้มลดลงในช่วงหลายวันที่ผ่านมา

ขณะที่บรรดาร้านค้าต่างๆ ทั่วออสเตรียได้รับอนุญาตให้ทยอยกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 14 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยทางการได้สั่งล็อคดาวน์ประเทศเมื่อ 4 สัปดาห์ก่อน ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ในออสเตรียยังคงอยู่ที่หลักร้อย (452 ราย) ซึ่งถือว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในทวีปเดียวกันอย่าง อิตาลี สเปน ฝรั่งเศส หรือเยอรมนี

ทางการเดนมาร์กก็เริ่มอนุญาตให้สถานรับเลี้ยงเด็กเล็กกลับมาเปิดกิจการได้อีกครั้งเมื่อวันที่ 15 เม.ย. และอนุญาตให้ชั้นเรียนบางระดับสามารถเปิดการเรียนการสอนได้ แต่ส่วนใหญ่ยังคงต้องเรียนหนังสือจากบ้าน ส่วนการชุมนุมมากกว่า 10 คน ยังถูกสั่งห้าม ธุรกิจที่พนักงานอาจต้องมีการสัมผัสอย่างใกล้ชิดกับลูกค้ายังคงปิดบริการ ส่วนร้านอาหารและบาร์ยังคงให้บริการเฉพาะการซื้อกลับบ้านเท่านั้น

ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ จะเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ ภายใต้แผน 3 ขั้น ด้วยการทยอยเปิดธุรกิจและโรงเรียนที่ปิดมานานกว่า 1 เดือน ธุรกิจที่ให้บริการด้านส่วนบุคคล เช่นร้านตัดผม และธุรกิจด้านกายภาพบำบัด จะเริ่มเปิดบริการได้ในวันที่ 27 เม.ย. โดยมีการจำกัดจำนวนลูกค้า จากนั้นหลังจากการเฝ้าสังเกตในอีก 2-3 สัปดาห์ต่อไป โรงเรียนจะเปิดการเรียนการสอยในวันที่ 11 พ.ค. ส่วนบาร์และร้านอาหารจะยังคงปิดบริการจนกระทั่งถึงวันที่ 8 มิ.ย. เป็นอย่างน้อย

ขณะที่รัฐบาลในอีกหลายประเทศก็ตัดสินใจขยายเวลาล็อคดาวน์ออกไปอีก ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักรที่ขยายออกไปถึงอย่างน้อย 7 พฤษภาคมนี้ ขณะที่ฝรั่งเศสขยายออกไปอีกอย่างน้อย 4 สัปดาห์ถึง 11 พฤษภาคม ส่วนอินเดียเองก็ขยายช่วงเวลาล็อกดาวน์ทั่วประเทศออกไปถึง 3 พฤษภาคมเป็นอย่างน้อย โดยการล็อกดาวน์ประเทศที่ยาวนานขึ้น แลกมาด้วยผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจที่อาจจะเสียหายมากขึ้นตามไปด้วย

ส่วนที่เยอรมนี นายเจนส์ สปาห์น รัฐมนตรีสาธารณสุข เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย. ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อโควิด-19 เริ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และสูงขึ้นกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่

 

 

นายสฟาห์นระบุว่า มาตรการให้ประชาชนอยู่บ้านตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมประสบความสำเร็จ ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อลดลงมาก โดยเฉพาะผู้ติดเชื้อรายวัน ตัวเลขจากสถาบันโรเบิร์ต ค็อช แสดงให้เห็นว่า อัตราการติดเชื้อระหว่างผู้ป่วยคนหนึ่งสู่คนรับเชื้ออีกคนหนึ่ง ลดลงเป็น 1 คน ต่อ 0.7 คน ซึ่งถือว่าเยอรมนีสามารถควบคุมการระบาดได้อีกครั้ง

ขณะเดียวกัน เยอรมนีจะผลิตหน้ากากอนามัยให้ได้มากถึงสัปดาห์ละ 50 ล้านชิ้นตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป แบ่งเป็นหน้ากากทางการแพทย์ 40 ล้านชิ้น และหน้ากากเอฟเอฟพี2 (FFP2) ที่มีประสิทธิภาพการกรองอยู่ที่ร้อยละ 94 อีก 10 ล้านชิ้น ปัจจุบันเยอรมนียังไม่ได้สั่งให้ประชาชนต้องสวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ ต่างจากออสเตรียที่มีคำสั่งนี้แล้ว

ขณะที่ในวันนี้ (20 เม.ย.) เยอรมนี เริ่มค่อยๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว เริ่มมีการเปิดร้านเล็กๆ เช่น ร้านดอกไม้ ไปจนถึงร้านแฟชั่น ในบางภูมิภาค โดยร้านกลุ่มแรกที่ได้รับอนุญาตให้เปิดก่อน จะเป็นร้านที่มีขนาดเล็กกว่า 800 ตารางเมตร

อย่างไรก็ตาม การห้ามชุมนุมเกินกว่า 2 คน และการบังคับให้ต้องยืนห่างจากคนอื่นมากกว่า 1.5 เมตร ในพื้นที่สาธารณะยังคงมีผลบังคับ ทำให้ธุรกิจทำผม ซึ่งถือเป็นในธุรกิจพื้นฐาน ยังไม่สามารถเปิดให้บริการได้ จนถึงวันที่ 4 พฤษภาคมเป็นอย่างน้อย

ส่วนสถานที่แสดงวัฒนธรรม บาร์ ศูนย์สันทนาการ และร้านเสริมสวย ก็ยังคงปิดให้บริการ ในขณะที่กิจกรรมสาธารณะที่มีผู้เข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เช่น คอนเสิร์ต และการแข่งขันฟุตบอล ยังคงถูกห้ามไปจนถึงวันที่ 31 สิงหาคม ส่วนโรงเรียนจะเปิดบางส่วน ในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า โดยรัฐส่วนใหญ่ จะให้นักเรียนชั้นมัธยม กลับเข้าเรียนตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคมเป็นต้นไป

ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แถลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วถึงแนวทางการค่อยๆ เปิดเศรษฐกิจเพื่อให้ผู้คนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยยืนยันตามข้อมูลล่าสุดว่า “ทีมผู้เชี่ยวชาญของเราเห็นพ้องกันว่า เราสามารถเริ่มสงครามแนวรบใหม่ เราจะเปิดประเทศ”

สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากที่สุด มากกว่า 40,000 คน จากเกือบ 165,000 คนทั่วโลก แต่ทรัมป์อ้างว่า บางรัฐไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แล้ว สามารถเปิดได้ทันทีด้วยซ้ำ

ทั้งนี้ ทำเนียบขาวร่างแผนเปิดประเทศ 3 เฟส ขึ้นอยู่กับผู้ว่าการรัฐตัดสินใจอนุญาตให้คนรวมตัวกันได้มากน้อยแค่ไหน โดยพิจารณาจากทำเลที่ตั้งและการติดเชื้อ

ทั้งนี้ แผน “เปิดอเมริกาอีกครั้ง” ความยาว 18 หน้า กำหนดเงื่อนไขในการอนุญาตให้พนักงานกลับไปทำงานได้ แต่การตัดสินใจยกเลิกข้อจำกัดสุดท้ายอยู่ที่ผู้ว่าการรัฐ

ก่อนจะเข้าสู่เฟส 1 แนวทางปฏิบัติกำหนดว่า จำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ตรวจหาเชื้อแล้วได้ผลเป็นบวก หรือผู้มีอาการไข้หรือคล้ายโควิด-19 ในรัฐหรือเขตนั้นจะต้องมีแนวโน้มลดลง และควรมีโปรแกรมที่มีประสิทธิภาพทดสอบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่มีความเสี่ยง เช่น การทดสอบแอนติบอดี้อุบัติใหม่

โดยรายละเอียดของแผน ที่มีระยะเวลาเฟสละ 14 วัน ได้แก่

เฟส 1 ห้ามการรวมกลุ่มนอกเคหะสถานเกิน 10 คน ขอความร่วมมือประชาชนงดออกนอกเคหสถานหากไม่จำเป็นโรงเรียนยังปิดต่อไป

เฟส 2 ผ่อนผันคำสั่งห้ามรวมกลุ่มในสถานที่สาธารณะเป็นไม่เกิน 50 คน การเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะเปิดกว้างมากขึ้น

เฟส 3 ประชาชนดำเนินชีวิตได้ตามปกติ แต่มาตรการด้านสาธารณสุขยังคงเข้มงวดในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคัดกรอง แยกกักตัวผู้ป่วยและกลุ่มเสี่ยง และการรักษาโรคด้วยยาและเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ

 

 

ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ขยายนโยบายรักษาระยะห่างทางสังคม ออกไปอีก 16 วัน แต่ก็ยอมผ่อนคลายมาตรการดังกล่าวลงสำหรับโบสถ์ และการแข่งขันกีฬา หลังพบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 8 คนเมื่อวันอาทิตย์ ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 2 เดือน โดยโบสถ์จะไม่ต้องปิดให้บริการอีกต่อไป

ส่วนการแข่งขันกีฬาอย่างเช่นฟุตบอล สามารถจัดขึ้นได้โดยไม่มีผู้เข้าชม ซึ่งนายกรัฐมนตรีชุง เซ-คยุน กล่าวว่าหากสามารถบริหารจัดการได้อย่างมั่นคงในระดับที่เป็นอยู่ในขณะนี้ได้ รัฐบาลก็จะยกเลิกมาตรการรักษาระยะห่างได้ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคมเป็นต้นไป ซึ่งเจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขระบุว่าการยกเลิกจะช่วยให้กลับมาเปิดเศรษฐกิจได้อีกครั้ง ไปพร้อมๆกับการปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆในเรื่องการฆ่าเชื้อโรค และป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสในการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน

อย่างไรก็ตาม นายโจเซฟ อู่ จากวิทยาลัยสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮ่องกงเผยว่า ตราบใดที่ยังไม่มีวัคซีน หรือการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ หรือ herd immunity การผ่อนคลายให้ผู้คนกลับไปทำงาน ดำเนินธุรกิจ หรือไปโรงเรียนมีความเสี่ยงที่โรค Covid-19 จะกลับมาอีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ติดเชื้อมาจากนอกประเทศ แม้ว่ารัฐบาลจะค่อยๆ ผ่อนคลายมาตรการและมีการติดตามการแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิดก็ตาม

ส่วนนายพอล ครุกแมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ ได้กล่าวเตือนไปยังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าแนวคิดที่จะเปิดประเทศในเดือนหน้าเป็นเรื่องที่ “บ้ามาก” เพราะสหรัฐฯ ยังไม่สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อจนอยู่ในระดับปลอดภัยที่ประชาชนจะกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้

ครุกแมนยังกล่าวอีกว่า ตัวอย่างของโรคระบาดที่ใกล้เคียงที่สุดคือ ไข้หวัดสเปนเมื่อปี 1918 ที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศที่รีบร้อนกลับมาใช้ชีวิตตามปกติมีราคาที่ต้องจ่าย

สำหรับสหรัฐฯ อาจจะยังไม่ใกล้เคียงกับคำว่าพร้อมกลับสู่สภาพปกติด้วยซ้ำ เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตรายวันยังพุ่งสูง

การตัดสินใจผิดพลาดเพียงเล็กน้อยอาจทำให้เชื้อโคโรนาไวรัสยิ่งระบาดเป็นวงกว้าง และต้องนำมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดกว่าเดิมมาใช้ ทั้งยังอาจเป็นหายนะของทั้งบุคลากรทางการแพทย์และเศรษฐกิจหนักเข้าไปอีก

การตัดสินใจกลับมาเปิดเมืองต้องทำอย่างปลอดภัยและต้องมีแผนการบริหารความเสี่ยงรองรับ เพราะตัวอย่างมีให้เห็นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ ฮ่องกง ที่ควบคุมการแพร่ระบาดได้ในช่วงแรก แต่หลังจากผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ตัวเลขผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่อเค้าว่าจะคุมไม่อยู่

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า