แบรนด์แฟชั่นเบอร์ต้นๆ ในอาณาจักรสินค้าหรู LVMH ได้ประกาศขึ้นราคาสินค้าของแบรนด์อย่างเป็นทางการแล้ว หลังต้นทุนการผลิตเพิ่ม และตอบรับกับปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นทั่วโลก
โดยการขึ้นราคาสินค้าดังกล่าวจะมีผลทั้งในส่วนของสินค้าเครื่องหนัง, เครื่องประดับ และน้ำหอมของ Louis Vuitton ในทั่วโลก
หลังจากรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของปี 2564 เบอร์นาร์ด อาโนลต์ เจ้าของอาณาจักร LVMH มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก กล่าวว่า คาดว่าดีมานด์สินค้าฟุ่มเฟือยจะยังคงแข็งแกร่งในปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมา
“การปรับราคานี้คำนึงถึงการเปลี่ยนแปลงของต้นทุนการผลิต วัตถุดิบ การขนส่ง ตลอดจนอัตราเงินเฟ้อ” แถลงการณ์ของ Louis Vuitton ระบุ
ไม่ใช่เพียงแค่แบรนด์หรูที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง Louis Vuitton เท่านั้น แต่แบรนด์แฟชั่นชั้นนำอื่นๆ เช่น Hermès และ Chanel ปรับขึ้นราคามาตั้งแต่เริ่มต้นการระบาดครั้งใหญ่ เพื่อปกป้องส่วนต่างกำไรจากเงินเฟ้อ
อย่าง Chanel นั้นขึ้นราคากระเป๋ารุ่นคลาสสิกบางรุ่นถึง 3 ครั้งในปีที่แล้ว
ในปี 2563 การระบาดของโควิด-19 บังคับให้บริษัทต่างๆ หยุดการผลิตส่วนใหญ่ในปีนั้น ทำให้กระบวนการผลิตล่าช้าในทั่วโลก ส่งผลกระทบต่อระบบซัพพลายเชนในระดับโลกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในขณะเดียวกัน ผู้บริโภคที่ไม่ได้เดินทางไปไหน ทำให้เม็ดเงินที่ปกติจะใช้ไปเพื่อการท่องเที่ยว เปลี่ยนมาอยู่ในสินค้าฟุ่มเฟือยแทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางคนมองว่าการซื้อของหรู เช่น กระเป๋า เป็นการลงทุนในระยะยาว
ที่น่าสนใจคือ ผลประกอบการของ LVMH ปี 2564 ไม่ได้แย่เลยด้วยซ้ำ รายได้อยู่ที่ 6.42 หมื่นล้านยูโร (2.35 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปี 2563
โดยหมวดสินค้าแฟชั่นและเครื่องหนังของบริษัท ซึ่งมีทั้งแบรนด์ Dior, Fendi, Celine และ Loewe ต่างก็ทำสถิติได้สูงสุดเช่นกัน ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ในไตรมาส 4 ที่ยังแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ รายได้ของสินค้าหมวดแฟชั่นและเครื่องหนังในปี 2564 อยู่ที่ 3.08 หมื่นล้านยูโร (1.13 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2562 ซึ่งเป็นปีก่อนเกิดโรคระบาด
อ้างอิง :