บทความนี้ TODAY Bizview จะพาไปรู้จักกับ M2 หรือปริมาณเงินที่ไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ ซึ่ง (อาจ) เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับการเพิ่มขึ้นของราคา ‘บิตคอยน์’ (Bitcoin) นอกเหนือจากปรากฏการณ์ลดปริมาณเหรียญ (Bitcoin Halving)
ปริมาณเงินในระบบ (Money Supply) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ M1 M2 และ M3
- M1 คือ เงินในระบบที่อยู่ในรูปแบบของธนบัตร เหรียญกษาปณ์ และเงินฝากกระแสรายวัน
- M2 คือ เงินในระบบที่ครอบคลุม M1 เงินฝากออมทรัพย์ และเงินฝากประจำ
- M3 คือ เงินในระบบที่ครอบคลุม M2 เงินฝากในสถาบันการเงินทุกประเภท เงินฝากที่เป็นเงินตราต่างประเทศ และตั๋วสัญญาใช้เงินของบริษัทเงินทุนและบริษัทหลักทรัพย์
‘ผศ.ดร.อุดมศักดิ์ รักวงษ์วาน’ ผู้ร่วมก่อตั้งและที่ปรึกษา FWX (อดีต Forward) แพลตฟอร์ม DeFi และอาจารย์ภาควิชาคณิตศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โพสต์ในบัญชี X (Twitter) ส่วนตัว โดยชี้ให้เห็นว่า
จากสถิติในอดีต ปริมาณเงินในระบบประเภท M2 มีรอบวัฎจักรทุก 4 ปี ซึ่งเป็นวัฏจักรที่ตรงกับ Bitcoin Halving พอดี ทำให้ M2 เป็นหนึ่งในดัชนีที่น่าจับตามองสำหรับราคาบิตคอยน์
อาจารย์มองว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจเป็นความตั้งใจของ ‘ซาโตชิ นากาโมโตะ’ (Satoshi Nakamoto) ผู้ก่อตั้งบิตคอยน์ ที่ต้องการให้รอบการ Halving ล้อไปกับสภาพคล่องในระบบ
นอกจากนี้ บิตคอยน์ยังถูกออกแบบโดยคำนึงถึงปัญหา ‘ความเฟ้อ’ ด้วยการจำกัดปริมาณอุปทานไว้ สะท้อนว่า บุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่แทนตัวเองว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ มีความเข้าใจระบบเศรษฐกิจและการเงินเป็นอย่างดี
ทำให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด (Conspiracy Theory) ว่า หรือแท้แล้ว ซาโตชิ นากาโมโตะ จะเป็นกลุ่มคนที่อยู่ในสถาบันการเงิน หรือธนาคารกลาง ที่มองว่าระบบการเงินปัจจุบันจะไม่ตอบโจทย์การเงินในยุคต่อไป จึงสร้างระบบการเงินใหม่อย่างบิตคอยน์ขึ้นมา
ที่มา: X (Twitter) Em Udomsak