ถ้าพูดถึง MAGURO Group อาหารที่แวบเข้ามาในหัวทันทีคงหนีไม่พ้นอาหารญี่ปุ่นอย่าง ซูชิและซาชิมิ หรืออาหารเกาหลีอย่าง ปิ้งย่าง
แต่นอกจากร้านอาหารแนวญี่ปุ่น-เกาหลีแล้ว ล่าสุด MAGURO เพิ่งได้เปิดตัวร้านอาหารแนวใหม่ ที่ฉีกออกไปจากเดิมมากอย่าง ‘CouCou’ (คุคูว์) ซึ่งเป็นร้านอาหารสไตล์ตะวันตก
โดยเอกลักษณ์ของร้านนี้ คือ การเป็นอาหารแบบ All-Day Dining ที่เริ่มเปิดบริการอาหารเช้าและเครื่องดื่มต่างๆ ตั้งแต่ 8 โมงเช้า และบริการอาหารหลักตั้งแต่ 11 โมงเช้าจนถึง 4 ทุ่ม ซึ่งทำให้สามารถเสิร์ฟอาหารให้ตามความต้องการได้ตลอดทั้งวัน
และอีกร้านที่กำลังเป็นกระแสหลังจากเปิดตัวไปเมื่อ 20 ธ.ค.ไม่กี่วันที่ผ่านมา อย่างร้านหมูทอดทงคัตสึ Tonkatsu AOKI ที่ได้รับความสนใจมากๆ จนมีลูกค้าเต็มทุกรอบทุกวันและยอมรอคิวนานถึง 3 ชั่วโมง
ซึ่งจากการขยายธุรกิจทำให้ในปี 2567 ทำให้ MAGURO Group มีแบรนด์ร้านอาหารภายในเครือทั้งหมด 5 แบรนด์ รวม 38 สาขา ได้แก่
1.MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 สาขา
2.SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลี วัตถุดิบพรีเมียม 6 สาขา
3.HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกียากี้ หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 11 สาขา และร้าน HITORI SUKIYAKI ร้านสุกียากี้คันไซแบบดั้งเดิมในรูปแบบ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ซึ่งเปิดสาขาแรกที่เอกมัย 12
4.Tonkatsu AOKI ร้านหมูทอดทงคัตสึร้านดัง จากประเทศญี่ปุ่น เพิ่งเปิดตัวสาขาแรกไปเมื่อวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา ที่เซ็นทรัล เวิลด์ ชั้น 3 โซน Nippon Avenue
5.CouCou ร้านอาหารรูปแบบ All-Day Dining สไตล์ตะวันตก จะเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 ธ.ค. ที่ The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม
[ ทำร้านหลายแนวเพื่อกระจายความเสี่ยง ]
‘จักรกฤติ สายสมบูรณ์’ กรรมการบริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO เล่าให้ฟังว่า ในการบริหารและการดำเนินธุรกิจร้านอาหาร การที่บริษัทมองหาโอกาสในการเปิดแบรนด์ใหม่ๆ ไม่ใช่ทำเพียงแค่การขยายสาขาร้านเดิม เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ของบริษัทที่ต้องการเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
‘ปีหน้าถามว่าถ้าเศรษฐกิจไม่ดีขึ้นจะกระทบต่อธุรกิจร้านอาหารไหม ผมเชื่อว่ามันกระทบและกระทบมาโดยตลอดอยู่แล้ว แต่เราก็พยายามปรับตัวอยู่ตลอด ซึ่งการที่เปิดร้านอาหารหลากหลายแนว ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เอาไว้รับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด’
ต้องอธิบายว่าการเปิดร้านอาหารหลายๆ แนว เป็นเหมือนการกระจายความเสี่ยงที่จะช่วยลดผลกระทบหากร้านใดร้านหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จหรือเจอกับปัญหา เพราะก็ยังมีร้านอื่นๆ ที่สามารถไปต่อและทำกำไรได้อยู่นั่นเอง
นอกจากนี้ เชื่อว่าในปีหน้าบริษัทอาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากเท่าไหร่นัก เนื่องจากยังคงเน้นการตลาดไปที่กลุ่มลูกค้า Premium Mass ที่ยังคงมีกำลังซื้อสูงและไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
[ ยังเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง ]
สำหรับภาพรวมทั้งปี 2567 นี้ของ MAGURO Group ได้ขยายสาขาเกินเป้าที่วางไว้ และคาดว่ายอดขายทั้งปีนี้น่าจะเติบโตราว 30% ตามที่ได้ตั้งเป้าไว้แล้ว
ส่วนภาพรวมแผนธุรกิจในปี 2568 บริษัทจะดำเนินกลยุทธ์ขยายร้านด้วยการเปิดรับไลเซนส์แบรนด์ร้านอาหารยอดนิยมจากต่างประเทศ รวมไปถึงการขยายสาขาโดยตั้งเป้าหมายทั้งปีไว้พอๆ กับในปีนี้คือประมาณ 13 สาขา
ซึ่งปัจจุบันร้านอาหารที่ทำกำไรได้มากที่สุด อันดับแรกก็ยังคงเป็น MAGURO เพราะมีสาขาเยอะที่สุด ต่อมาด้วย HITORI SHABU และ SSAMTHING TOGETHER ตามลำดับ
ขณะที่ร้านน้องใหม่อย่าง Tonkatsu AOKI หลังจากเปิดตัวมาแล้วได้ผลตอบรับที่ดีมากๆ ก็ทำให้บริษัทเตรียมที่จะขยายสาขาเพิ่มแล้ว 3-4 สาขา ซึ่งก็จะช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในปีหน้า