‘มาฆบูชา’ 2567 ม.หอการค้าฯ คาดเงินสะพัดกว่า 2.4 พันล้านบาท ร้อยละ 67.7 จะไปทำบุญไหว้พระ

ม.หอการค้าฯ คาด ‘มาฆบูชา’ ปี 67 เงินสะพัดกว่า 2.4 พันล้านบาท ร้อยละ 67.7 จะไปทำบุญไหว้พระ

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย สำรวจความคิดเห็นการใช้จ่ายในช่วงวันมาฆบูชา จากกลุ่มตัวอย่าง 1,289 ตัวอย่างทั่วประเทศ ระหว่าง วันที่ 8-13 ก.พ. 67 พบว่า ร้อยละ 67.7 จะไปทำบุญไหว้พระในวันมาฆบูชา และร้อยละ 28.8 มองว่า จะไม่ไปทำบุญ โดยให้เหตุผลว่า อยากพักผ่อนอยู่บ้าน ไม่อยากให้เงิน ต้องการประหยัด และรายได้ลดลงรวมถึงมองว่าเศรษฐกิจไทยยังไม่ดี

อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างมองว่า บรรยากาศในวันมาฆบูชาปี 2567 เทียบกับปี 2566 ร้อยละ 43.7 มีความคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้น การที่เศรษฐกิจแย่ลง ทำให้คนหันไปทำบุญมากขึ้น และร้อยละ 27.4 มองว่า เศรษฐกิจแย่ลง ราคาสินค้าแพงขึ้น มีภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและมีหนี้สิน

สำหรับกิจกรรมที่กลุ่มตัวอย่างตั้งใจทำในวันมาฆบูชา ร้อยละ 42.5 เลือกที่จะไปเวียนเทียน รองลงมาร้อยละ 39.8 ไม่ทานสิ่งมึนเมา และร้อยละ 32 จะถือศีล 5 ซึ่งร้อยละ 27.7 เลือกที่จะไปวัดที่ครอบครัวศรัทธา และร้อยละ 21.1 เดินทางสะดวก

นายธนวรรธน์ กล่าวถึงการใช้จ่ายในวันมาฆบูชา แยกเป็นรายภูมิภาค พบว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีค่าใช้จ่ายรวม 1,758 บาทต่อคน และต่างจังหวัด ใช้จ่าย 1,517 บาทต่อคน คาดว่าจะมีเงินสะพัด 2,432 ล้านบาท เพิ่มขึ้น ร้อยละ 28 จากปี 2564 คนไทยยังมองว่าศาสนาหรือกิจกรรมต่างๆ ยังคงมีความสำคัญและยังเป็นที่ยึดเหนียวจิตใจช่วงยุคเศรษฐกิจแบบนี้

โดยร้อยละ 48.2 มองว่า ตนเองมีความใกล้ชิดศาสนามากขึ้น และร้อยละ 89 จะยึดหลักคำสอน และมองว่า สื่อ ออนไลน์ทำให้เกิดความใกล้ชิดกับศาสนามากขึ้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตามกลุ่มตัวอย่างยังมองว่า การมีธรรมะไม่ได้ช่วยเรื่องคอร์รัปชันของนักการเมือง การสร้างความสามัคคี หรือการคอร์รัปชันในองค์กร แต่กว่าร้อยละ 50 มองว่า ช่วยลดปัญหาอาชญากรรม ช่วยเรื่องการงาน การฆ่าตัวตาย

นอกจากนี้ จากการสำรวจความเห็นของร้านค้า พบร้อยละ 38.2 มั่นใจว่าลูกค้าจะเพิ่มมากขึ้นร้อยละ 51 รองลงมาลูกค้านิยมเลือกซื้อของด้วยตัวเอง ร้อยละ 26 และร้อยละ 8.7 ลูกค้ามีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีบางส่วนที่มองว่าราคาสินค้าแพงขึ้น

โดยผู้ค้ามองว่า บรรยากาศในช่วงวันมาฆบูชาปีนี้จะมีความคึกคักกว่าปี 2566 ซึ่งรวมไปถึงการใช้จ่ายโดยรวมของผู้บริโภค ร้อยละ 37.5 ที่มองว่าเศรษฐกิจดีขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น มาตรการรัฐ แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนมาซื้อสินค้าเพิ่มขึ้น