งานในโลกอนาคต จะเป็นอย่างไร ในสายตาของ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก

งานส่วนใหญ่ในโลกอนาคตจะเป็นงานที่ใช้จินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ มากกว่างานที่ใช้เรี่ยวแรงและพละกำลัง

ไม่นานมานี้ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ได้ไปให้สัมภาษณ์ในรายการพอดแคสต์ของ Lex Fridman ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจาก MIT มีหลายประเด็นน่าสนใจ 

โดยหนึ่งในนั้นคือเรื่องการทำงานในโลกอนาคตหรือ Future of work

มาร์ก บอกว่า สังคมเราทุกวันนี้กำลังเดินหน้าด้วยการพัฒนาเทคโนโลยี ดังนั้นสายงานที่มาแน่ๆ คืองานสายไอที

และที่สำคัญ รูปแบบเศรษฐกิจของโลกอนาคต จะไม่ใช่รูปแบบของการใช้แรงงานแบบเดิมๆ ที่มนุษย์คุ้นชิน เพราะมันจะเป็น เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy

งานส่วนใหญ่ในโลกอนาคตจะเป็นงานที่ต้องใช้ ‘จินตนาการ’ (imagination) มากกว่าแรงกาย ผู้คนส่วนใหญ่ในอนาคตจะทำงานที่เน้นความคิดสร้างสรรค์ มากกว่าการทำงานที่ต้องใช้เรี่ยวแรง

นอกจากที่ มาร์กจะพูดถึงเศรษฐกิจสร้างสรรค์แล้ว ยังได้พูดถึงเมตาเวิร์ส ซึ่งบริษัทของเขาเอาจริงเอาจังอย่างมาก ถึงขั้นกับเปลี่ยนชื่อจาก Facebook เป็น Meta 

เพราะมาร์กเชื่อว่า เมตาเวิร์สจะเป็นโลกที่ผู้คนในอนาคตใช้เวลาอยู่ในนั้น เพื่อทำกิจกรรมต่างๆ สุดท้ายก็จะทำให้เกิดเศรษฐกิจใหม่ เกิดอาชีพใหม่ๆ ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก

มาร์กได้ยกตัวอย่างเรื่องงานในโลกอนาคต โดยเขาบอกว่า ลูกสาวของเขาตอนนี้ทำ Code Art ได้แล้ว ด้วยการใส่สมการลงไป หลังจากนั้นคอมพิวเตอร์จะสร้างรูปภาพหรืองานศิลปะขึ้นมาให้
สิ่งที่มาร์กพยายามจะสื่อสารก็คือ ในยุคที่เขาก่อตั้งบริษัท คือเมื่อประมาณ 20 ปีก่อน ยุคนั้นการเขียนโค้ดมีขึ้นเพื่อสร้างสิ่งพื้นฐาน และใช้งานได้จริง แต่ในยุคนี้การเขียนโค้ดมีขึ้นเพื่อสร้างงานศิลปะได้แล้ว 

รูปแบบนี้เอง คือหน้าตาแห่งโลกอนาคต ที่ปูทางไปสู่เศรษฐกิจสร้างสรรค์

เอาเข้าจริงแล้ว ไอเดียเรื่องงานในโลกอนาคตของมาร์ก ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในวงการเทคโนโลยีพูดกันมาหลายปีแล้ว ยกตัวอย่างเช่น 

– ความเห็นของ Nicola Morini Bianzino ผู้บริหารด้านไอที (CTO) ของ EY บริษัทที่ปรึกษาระดับโลก ที่เคยบอกไว้ว่า โลกเรากำลังเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 โดยครั้งนี้หุ่นยนต์จะฉลาดขึ้น ทำงานด้วยตัวเองได้มากขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น งานหลายๆ อย่างเมื่อหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่มนุษย์ได้ เพราะฉะนั้น มนุษย์จะมีเวลาเหลือมากขึ้น และงานที่มนุษย์ต้องทำ จะไม่ใช่งานที่ใช้พละกำลังแรงกาย แต่จะเป็นงานที่ใช้ปัญญามากขึ้นกว่าเดิม

–  สภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) เคยทำนายเอาไว้ว่า ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี งานหลายอย่างจะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และเอไอ จะมีคนตกงานทั้งโลกไม่ต่ำกว่า 85 ล้านตำแหน่งภายในปี 2025 แต่นั่นไม่ใช่เรื่องน่ากังวล หากแรงงานปรับตัวไปสู่ทักษะใหม่ๆ เพราะในขณะเดียวกัน ตลาดก็จะมีงานใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกกว่า 97 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

โดยสรุป ในที่สุดแล้ว ประเด็นเรื่องงานในโลกอนาคต ปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอจะถูกพัฒนา จนสามารถเข้ามาแทนที่งานของมนุษย์ได้ โดยเฉพาะงานที่ซ้ำซาก จำเจ อย่างเช่น งานเอกสาร การกรอกข้อมูลลงชีท หรือแม้กระทั่งการเขียนโค้ดเบื้องต้น

และหากโลกไปถึงจุดนั้น ตามหลักการแล้ว มนุษย์ก็จะมีเวลาว่างมากขึ้น พร้อมทั้งเอาเวลาที่เหลือไปทำงานที่ใช้ความคิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ซึ่งตรงจุดนี้หุ่นยนต์เอไอยังสู้ไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้คือวิสัยทัศน์และความคิดของผู้บริหาร-ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในวงการธุรกิจระดับโลก 

สิ่งเหล่านี้ที่ว่ามาจะเกิดขึ้นจริงในเร็ววัน หรือจะเกิดขึ้นจริงในวงกว้างแค่ไหน ก็อาจจะติดตามกันต่อไป และที่สำคัญ ด้วยบริบทที่ไม่เหมือนกัน เรื่องทั้งหมดนี้ก็อาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ทั่วโลก

อ้างอิง – CNBC, EY, WEF