จากการเลย์ออฟครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ 18 ปีของ Meta ที่มีพนักงานโดนปลด 13,000 คน ล่าสุดมีข้อมูลเพิ่มด้วยว่าเกือบครึ่งของคนที่โดนปลดเป็นผู้มีทักษะเทคโนโลยี และ Meta จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งในองค์กรครั้งใหญ่ รวมถึงยุติธุรกิจฮาร์ดแวร์สมาร์ทดิสเพลย์หรือ Portal ด้วย
Portal เป็นอุปกรณ์วิดีโอคอลของ Facebook โดยเฉพาะ เปิดตัวครั้งแรกในปี 2018 เป็นแท่นหน้าจอตั้งพื้น ทำงานเข้ากันแบบไร้รอยต่อกับ Facebook Messenger เพิ่มความสามารถด้วย Alexa ปัญญาประดิษฐ์ของ Amazon ในการใช้งานทั่วไป ( เช่น เปิดเพลง ถามข้อมูล ถามสภาพอากาศ ฯลฯ) เมื่อเกิดโรคระบาดก็ส่งผลบวกต่อหน่วยธุรกิจ Portal ให้ได้รับความนิยมมากขึ้น
ความสามารถเด่นๆ ของ Portal คือใช้ AI จับและตัดเสียงรบกวน กล้องจับตามวัตถุหรือคนไม่ว่าจะเดินไปไหน และยังใส่เอฟเฟกต์ AR บนหน้า เหมือนอย่างที่ทำได้ตอนใช้ Facebook Messenger ในการทำวิดีโอคอล
แต่ธุรกิจ Portal ไม่ใช่รายได้หลักของ Meta แม้จะได้รับกระแสดีในช่วงเปิดตัว จนกระทั่งเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมานี้เอง Meta เปลี่ยนแผน ไม่ขาย Portal ให้กับกลุ่ม consumer ทั่วไป แต่ไปเน้นขายให้กับกลุ่มธุรกิจแทน เพราะภาวะเงินเฟ้อ อาจไม่ช่วยให้ลูกค้าทั่วไปมีแรงจูงใจจะซื้อ Portal ซึ่งราคาราวๆ เกือบ 1 หมื่นบาทมาใช้ แต่ถ้าเป็นกลุ่มธุรกิจยังคงมีแรงจูงใจมากกว่า
โดยล่าสุดนี้ Reuters รายงานจากการประชุมทาวน์ฮอลล์ของ Meta หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี Andrew Bosworth ซึ่งดูแลแผนก Reality Labs บอกกับพนักงานว่า Meta จะยุติการทำงานของ Portal รวมถึงนาฬิกาอัจฉริยะที่ซุ่มทำกันมาระยะหนึ่งแล้วแต่ยังไม่ได้เปิดตัว โดยทีมพัฒนานาฬิกาอัจฉริยะจะถูกโยกไปอยู่ส่วนแว่น AR ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทีม Reality Labs พัฒนาเมตาเวิร์ส
มีข้อมูลเพิ่มเรื่องการเลย์ออฟด้วยว่า 54% ของคนที่โดนปลด เป็นทีมธุรกิจ ส่วนที่เหลือ 46% เป็นฝ่ายเทคโนโลยี กระทบทุกระดับตั้งแต่คนที่ได้รับการประเมินต่ำไปจนถึงสูง
หนึ่งในแผนการปรับเปลี่ยนภายในคือ รวบทีม voice และ video calling เข้ากับทีมที่ดูแลการส่งข้อความ และตั้งแผนกใหม่ Family Foundations เน้นแก้ปัญหาด้านวิศวกรรม
เมื่อมาแนวทางนี้ ก็สะท้อนให้เห็นว่า Meta จะลีนองค์กรและทุ่มกำลังไปยังฮาร์ดแวร์เดียวที่เป็นอนาคตของ Meta ก็คือแว่น VR, เฮดเซ็ต Oculus แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากนักลงทุนว่า Meta กำลังลงทุนกัยเมตาเวิร์สที่ไม่รู้จะผลิดอกออกผลเมื่อไร