ไมโครซอฟท์เผยเตรียมเจรจาเข้าซื้อ TikTok หลังทรัมป์ให้ไฟเขียว

ไมโครซอฟท์เดินหน้า เตรียมเจรจาซื้อ TikTok คาดรู้ผลไม่เกิน 15 ก.ย. นี้

วันที่ 3 ส.ค. 2563 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า ไมโครซอฟต์ ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเดินหน้าเจรจาขอซื้อธุรกิจ TikTok แอพพลิเคชั่นชื่อดังของจีนในสาขาสหรัฐฯ จากบริษัท ByteDance โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทางไมโครซอฟท์ได้ชี้แจงประเด็นดังกล่าวผ่านบล็อกของบริษัท โดยระบุว่า นายสัตยา นาเดลลา ซีอีโอของไมโครซอฟท์ ได้หารือกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว ทำให้ไมโครซอฟท์มีเวลาเจรจากับ ByteDance บริษัทแม่ของ TikTok ไปจนถึงวันที่ 15 กันยายน 2020

โดยก่อนหน้านี้ทางประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการระงับความพยายามซื้อกิจการ TikTok ของไมโครซอฟท์ เนื่องจากต้องการจะแบนแอพฯ ดังกล่าวอย่างเดียว ซึ่งทางไมโครซอฟท์เผยว่า ทางบริษัทตระหนักถึงความกังวลที่ประธานาธิบดีทรัมป์หยิบยกขึ้นมา ดังนั้น TikTok จะต้องผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยและให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมแก่สหรัฐอเมริกา ระหว่างนี้ทางไมโครซอฟท์ยินดีที่จะพูดคุยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และประธานาธิบดีเสมอ

ขณะที่ทาง TikTok ได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาว่า ทางบริษัทจะไม่ขอให้ความเห็นเกี่ยวกับข่าวลือและการคาดเดาต่างๆ ก่อนที่วาเนสซา พัพพัส ผู้จัดการใหญ่ของบริษัทจะอัพโหลดวิดีโอคลิปในวันเสาร์ เพื่อยืนยันว่า TikTok ไม่มีแผนที่จะหายไปจากสหรัฐฯ แต่อย่างใด

โดยรายละเอียดของสัญญาซื้อของครั้งนี้จะส่งผลให้ไมโครซอฟท์ จะเข้ามาดูแลและบริหาร TikTok ในสหรัฐอเมริกา, แคนาดา, ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ซึ่งทางไมโครซอฟท์ยืนยันว่า หากตนได้เข้ามาบริหารจะไม่มีการถ่ายโอนข้อมูลผู้ใช้งานไปเซิร์ฟเวอร์แต่อย่างใด โดยก่อนหน้านี้ทาง TikTok เผยว่า ข้อมูลผู้ใช้งานในโซนอเมริกาเหนือจะถูกเก็บไว้ในเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐฯ และสิงคโปร์ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้กฎหมายของจีน ทางไมโครซอฟท์เผยว่า ทางบริษัทจะส่งมอบประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้กับผู้ใช้งาน TikTok ขณะเดียวกันก็มีการยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในระดับโลก

ด้านนายแดเนียล ไอฟ จากบริษัท Wedbush Securities ผู้ให้คำปรึกษาด้านการเงินและการลงทุนกล่าวว่า TikTok อาจเป็นคู่ค้าที่เหมาะสมในเวลาที่เหมาะสมของไมโครซอฟท์ โดยไอฟชี้ว่าหากไมโครซอฟท์ (เป็นเจ้าของ LinkedIn อยู่แล้ว) เจรจาซื้อ TikTok สำเร็จ จะทำให้พวกเขามีส่วนแบ่งการตลาดมากขึ้นในตลาดแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และสามารถแข่งขันกับ เฟซบุ๊ก หรือทวิตเตอร์ได้