Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

คณะวิทย์ มธ. จับตาหนี้สาธารณะไทย หลังพบปี 2566 มีหนี้สะสมสูง 10 ล้านล้านบาท สาเหตุจากรัฐบาลมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย พร้อมแนะภาคครัวเรือนและวัยรุ่นสร้างตัว เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด, มีเงินเก็บสำหรับฉุกเฉิน และลงทุนให้เป็น

รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย วิทยาเกียรติเลิศ อาจารย์ประจำสาขาวิชาคณิตศาสตร์และสถิติ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.ธรรมศาสตร์ เผยว่า “ปัจจุบันประเทศไทยมีหนี้สาธารณะสะสมสูงถึง 10 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 60-61 ของจีดีพี

โดยจัดอยู่ในประเทศที่มีภาระหนี้สาธารณะอันดับที่ 120 ของโลกและอันดับที่ 4 ของอาเซียน จากกรณีที่รัฐมีรายได้ไม่เพียงพอต่อรายจ่าย แม้มีรายได้จากภาษีและรัฐพาณิชย์กว่า 2.66 ล้านล้านบาทต่อปี

โดยในปี 2566 นี้คาดการณ์ว่ารัฐจะมีรายได้เพิ่มขึ้นที่ 2.7-2.8 ล้านล้านบาท จากแผนกู้เงินกว่า 3.22 ล้านล้านบาท ที่ส่วนหนึ่งนำไปบริหารจัดการและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางสังคม เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คน ตลอดจนเยียวยากลุ่มคนเปราะบางที่ขาดรายได้จากสถานการณ์โควิด-19

ซึ่งจากสถานการณ์ดังกล่าว คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ได้นำข้อมูลดังกล่าวมาวิเคราะห์ ทางคณิตศาสตร์และสถิติ ร่วมกับบริบททางสังคมของประเทศไทย จึงได้โรดแมป ‘ลดหนี้สาธารณะ’ เพื่อเป็นแนวทางสำหรับหน่วยงานภาครัฐของไทย ผ่านการดำเนินงานใน 3 ระยะดังนี้

1.ระยะสั้น การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น หรือพิจารณาจากความคุ้มค่าในการก่อหนี้ ผ่านการจัดตั้งโครงการแก้หนี้เพื่อแก้หนี้ระยะสั้น

2.ระยะกลาง การช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางผู้ขาดรายได้เข้าถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี (SME) มีที่รายได้เพิ่มขึ้น เพื่อให้มีรายได้ที่จะจ่ายภาษีและลดภาระการจ่ายเงินเยียวยาในกรณีที่ประชาชนไม่มีรายได้

ขณะที่รัฐก็มีรายได้มาใช้พัฒนาประเทศโดยไม่ต้องกู้ยืมหรือมีเงินใช้คืนหนี้ ผ่านการพัฒนาโครงการให้เกิดการจ้างงาน รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

3.ระยะยาว การยกระดับศักยภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ที่เป็นจุดแข็งของไทย ทั้งด้านการเกษตรและวัตถุดิบแต่ละท้องถิ่น ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สู่การรังสรรเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรและนวัตกรรมอาหารที่น่าสนใจเพิ่มเติมจากการส่งออกวัตถุดิบเพียงอย่างเดียว

ขณะที่ ‘หนี้ครัวเรือน’ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 90 ในไตรมาสที่ 4/2565 เนื่องจากประชาชนสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น จากสถิติปี 2563-2564 ที่พบว่าร้อยละ 34.3 เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล

และร้อยละ 65.7 เป็นหนี้เพื่อการลงทุนและสร้างรายได้ในอนาคต ทั้งอสังหาริมทรัพย์ ยานยนต์ และการลงทุนธุรกิจ จึงเป็นผลให้เกิดหนี้เสียจำนวนมาก

โดยล่าสุดหลังการปรับโครงสร้างหนี้ในไตรมาสที่ 1/2566 พบค่า NPL ลดลงมาอยู่ที่ 498.0 พันล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน NPL ต่อสินเชื่อรวมที่ร้อยละ 2.68 แต่ทั้งนี้ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของกลุ่มเปราะบางที่รายได้ฟื้นตัวช้าและมีหนี้สูง (ที่มา: ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2566)

นอกจากนี้ คณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ยังมีแนวทางสำหรับการสร้างภูมิคุ้มกันและสร้างความมั่นคงทางการเงินระยะยาวแก่ภาคประชาชน สามารถแบ่งตามลำดับขั้นของการชีวิตได้ดังต่อไปนี้

-ช่วงวัยเริ่มต้นทำงานจนถึงอายุ 35 ปี ต้องสร้างความมั่งคั่งพื้นฐานให้กับตัวเอง อาทิ การเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6 เท่าของค่าใช้จ่ายส่วนตัวแต่ละเดือน เงินเก็บสำหรับการเรียนรู้สิ่งใหม่หรือพัฒนาทักษะ สร้างเครดิตทางการเงินที่ดี ศึกษาการลงทุนเพื่อรองรับวัยเกษียณ ทยอยซื้อประกันให้ตัวเอง

-ช่วงวัย 35-55 ปี ช่วงวัยแห่งการสะสมความมั่งคั่ง ควรนำเงินเก็บไปลงทุนเพื่อสร้างให้งอกเงย ซื้อทรัพย์สินเป็นของตัวเอง นอกจากนั้นยังควรอัปเดตแผนการเงินสำหรับการเกษียณตัวเองว่า เป้าหมายที่ตั้งไว้เป็นไปตามแผนหรือไม่ กรณีที่ไม่บรรลุเป้าหมายที่วางไว้อาจจะต้องปรับแผนการลงทุนใหม่

-ช่วงวัย 55-65 ปี ช่วงวัยที่วางแผนก่อนการเกษียณ ควรคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนตัวรายเดือน หรือมองหางานเล็กๆ ทำเพื่อสร้างรายได้เสริมเพื่อแก้เบื่อ รวมถึงวางแผนระยะยาวสำหรับการเงินเพื่อดูแลสุขภาพของตัวเองในวัยเกษียณ

-ช่วงวัยเกษียณ อายุ 65 ปีขึ้นไป ช่วงวัยที่พิจารณาเงื่อนไขในชีวิตที่มีอยู่พร้อมกับเงินที่สะสมมาทั้งชีวิต ดูแผนประกันชีวิตและประกันสุขภาพของตัวเอง เพื่อวางแผนพร้อมเงินสดที่มี อย่างไรก็ดี นอกจากเงื่อนไขเรื่องอายุ ต้องพิจารณาการวางแผนทางการเงินให้สอดคล้องกับปัจจัยที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น มีบุตรตอนอายุมาก หรือวางแผนเกษียณก่อนกำหนด

อย่างไรก็ดี ในยุคดิจิทัลเราจะพบวัยรุ่นสร้างตัวจำนวนมาก แต่กลับพบปัญหาเรื่องการออมเงิน ซึ่งสามารถแก้ไขได้ใน 3 ขั้นตอน ได้แก่

1.เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด (เท่าที่จะทำได้) ควรมีเงินเหลือมากกว่าค่าใช้จ่าย และมีอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ต่อเดือนไม่เกินร้อยละ 60 หรือต่ำกว่า

2.มีเงินเก็บสำหรับฉุกเฉิน ควรมีเงินเก็บฉุกเฉินจำนวน 6 เดือนขึ้นไป เพราะสถานการณ์โควิดที่ผ่านมาหลายบริษัทมีการปลดพนักงานหรือปรับลดรายได้กะทันหัน

3.ลงทุนให้เป็น ปลดล็อกเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต การเริ่มต้นลงทุนแบบง่ายๆ เช่น การซื้อกองทุนรวมในประเทศ กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ เป็นต้น นอกจากนี้ ยังควรศึกษาเรื่องการจัดการภาษีเงินได้ส่วนบุคคล การลดหย่อนผ่านการบริจาค การซื้อกองทุนรวมเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายจากภาษี

“แม้หนี้สาธารณะไทยจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ ด้วยประสบการณ์ในวิกฤตต้มยำกุ้งและมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่รัดกุมและเข้มแข็ง

“แต่หากไทยสามารถทำให้หนี้ดังกล่าวลดลงได้ โดยอาจไม่จำเป็นถึงขั้น ‘ล้างหนี้’ ย่อมส่งผลดีต่อประเทศในหลากมิติ ทั้งต่อภาคประชาชนที่ไม่ต้องหมุนเวียนชำระหนี้ก้อนโต ภาคธุรกิจมีมูลค่าการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้น จากการมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน

ซึ่งที่ผ่านมาทางคณะวิทยาศาสตร์ฯ มธ. ได้มีการปลูกฝังการวางแผนทางการเงินระยะยาว ผ่านการปรับทัศนคติการออมเงินด้วยสมการ ‘รายได้ – เงินออม = รายจ่าย’ กล่าวคือ “เก็บออมก่อนใช้” โดยเริ่มจากการออมขั้นต่ำ 10-20% ของรายได้

นอกจากนี้หากพิจารณาในกลุ่มคนเปราะบางของประเทศ อาทิ แรงงานค่าจ้างรายวัน ที่ปัจจุบันมี ‘อัตราค่าแรงขั้นต่ำ’ สูงสุดที่ 354 บาทต่อวัน เห็นควรปรับสมการการออมเงินแบบรายวัน ประมาณ 5-10% หรือคิดเป็นเงิน 17-35 บาท เพื่อให้มีเงินคงเหลือเพียงพอต่อการใช้จ่ายและมีเงินเก็บสะสมยามฉุกเฉิน” รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย กล่าว

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า