กองทัพเมียนมาปฏิเสธ ส่งสัญญาณรัฐประหาร-ล้ม รธน. อ้างสื่อจงใจแปลความผิด

กองทัพเมียนมาออกแถลงการณ์ ยืนยันเคารพรัฐธรรมนูญ ชี้สื่อจงใจแปลความบิดเบือนเพื่อกล่าวหากองทัพจะก่อรัฐประหาร

วันที่ 30 มกราคม 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กองทัพเมียนมาออกแถลงการณ์ในวันนี้ (30 ม.ค.) ยืนยันว่า กองทัพเมียนมาจะปกป้องและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ หลังเกิดกระแสข่าวตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กองทัพเมียนมาอาจก่อรัฐประหาร เนื่องจากไม่พอใจผลการเลือกตั้งที่กองทัพเมียนมาระบุมีการโกงเลือกตั้ง โดยมีรายงานพบยุทโธปกรณ์ทางทหารออกมาประจำการบนท้องถนนในนครย่างกุ้งและอีกหลายเมืองสำคัญของประเทศ

ความกังวลที่กองทัพเมียนมาอาจใช้กำลังแทรกแซงทางการเมือง ทำให้บรรดาสถานทูตชาติตะวันตกหลายชาติ รวมถึงเลขาธิการองค์การสหประชาชาติแสดงความกังวล พร้อมเรียกร้องให้กองทัพและทุกฝ่ายเคารพรัฐธรรมนูญและผลการเลือกตั้ง

โดยความกังวลล่าสุดมาจากท่าทีของพลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของเมียนมาที่กล่าวเมื่อวันพุธ (27 ม.ค.) ว่า รัฐธรรมนูญเมียนมาควรถูกยกเลิกหากไม่มีใครปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่หลายฝ่ายนำไปตีความว่า นี่คือการส่งสัญญาณการรัฐประหหาร

โดยในแถลงการณ์ล่าสุดของกองทัพเมียนมายืนยันว่า ข้อความดังกล่าวของผู้บัญชาการทหารสูงสุดเมียนมาเป็นเพียงการพูดเพื่อให้เข้าใจสถานการณ์ที่เป็นอยู่ และมีความพยายามของสื่อมวลชนและบางสถาบันที่นำข้อความดังกล่าวไปแปลความผิดๆ เพื่อจงใจให้เข้าใจว่า กองทัพต้องการล้มล้างรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ท่าทีจากพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลออกมายอมรับแถลงการณ์ของกองทัพเมียนมาว่า เป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล พร้อมย้ำจุดยืนของพรรค NLD ว่า ต้องการให้กองทัพยอมรับเจตจำนงของประชาชนที่สะท้อนผ่านการเลือกตั้ง

เมียนมาจัดการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งผลการเลือกตั้งชี้ว่า พรรค NLD ชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ได้ที่นั่งทั้งในสภาระดับชาติและระดับท้องถิ่น ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคของกองทัพเมียนมา รวมถึงกองทัพเมียนมาออกมาชี้ว่ามีการโกงเลือกตั้งจำนวนมาก แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งปฏิเสธข้อกล่าวหาของกองทัพ โดยบรรดาสมาชิกสภาเมียนมามีกำหนดเข้าร่วมประชุมสภาในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

นักวิเคราะห์ประเมินว่า ท่าทีของกองทัพเมียนมาล่าสุดคือการส่งสัญญาณถอย แต่ก็ต้องจับตาสถานการณ์ในเมียนมาอย่างใกล้ชิด เพราะสุดท้ายปัจจัยที่จะกำหนดทิศทางขึ้นอยู่กับการเจรจาหลังฉาก ระหว่างกองทัพเมียนมากับพรรครัฐบาล