Advertisement

SHARE

คัดลอกแล้ว

คนในแวดวงคงรู้จักสำนักข่าวเนชั่น หรือ NNA (Nation News Agency) เป็นอย่างดี เพราะเป็นสถานที่ปลุกปั้นยอดฝีมือในแวดวงมานับสองทศวรรษ

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา งาน “ข่าว” ของ NNA เป็นข่าวที่แท้จริงๆ NNA มีกองทัพคนข่าวอยู่ทั่วประเทศ ส่งข่าวเข้ามาส่วนกลาง กระจายออกไปตามสื่อต่างๆ  ทั้งหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ ออนไลน์ ในยุคหนึ่งก็ผ่าน SMS ข่าวของ NNA เป็นข่าวจริงๆ ไม่มีความเห็นมาเจือความจริง เป็นข่าวที่แม้สีสันจะไม่ฉูดฉาดหวือหวา แต่เป็นเนื้อหาความจริงที่สำคัญต่อวิถีชีวิตประชาชน

คนกรุงเทพฯ ได้รู้ความเคลื่อนไหวของสามจังหวัดชายแดนใต้ คนอีสานได้เห็นผลกระทบจากปัญหาฝุ่นพิษของคนเชียงใหม่ เหล่านี้คือภาพตัวอย่างข่าวของ NNA ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อผู้คนเอาไว้ด้วยกัน

ถือกำเนิดหลังกระตุกหนวดเสือ

อดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ หนึ่งในคนเนชั่นยุคบุกเบิกเล่าให้ฟังถึงที่มาของการก่อตั้งสำนักข่าวเนชั่นในยุคแรกว่า เกิดขึ้นครั้งพ.ศ. 2534 ก่อนเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ซึ่งขณะนั้นสำนักข่าวรับผิดชอบคลื่นวิทยุใหญ่อยู่ 2 สถานี คือ คลื่นวิทยุ  FM 96 และ FM 97 ซึ่งเป็นที่นิยมมากในช่วงเวลานั้น จนมีทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังในตอนนั้นกว่า 80 ชีวิต

แต่แล้วก็เกิด “อุบัติเหตุ” ที่ไม่คาดคิดกับการถูกเรียกคืนคลื่นวิทยุสถานีหนึ่ง หลังมีการรายงานข่าววิพากษ์วิจารณ์ทหาร สมัยรสช. คนทำงานหลายสิบชีวิตจึงแคว้งในช่วงเวลานั้น แต่ด้วยนโยบายผู้บริหารที่ไม่ต้องการลดคนทำงาน จึงปรับโครงสร้างและก่อตั้งเป็นสำนักข่าวเนชั่นขึ้นมาแทน ซึ่งได้ประโยชน์สองต่อทั้งไม่ต้องโละคนออก อีกทั้งลดต้นทุนในการจ้างนักข่าวซ้ำซ้อนของสื่อในเครือ

“แต่ก่อนการทำงานของนักข่าว คือแต่ละกองมีนักข่าวประจำ The Nation ก็มีนักข่าว กรุงเทพธุรกิจก็มีนักข่าว ตอนนั้นคมชัดลึกยังไม่เกิด Nation Radio ก็มีนักข่าวรายงานเสียง ทำงานอย่างเดียว ทำสื่อใดก็สื่อหนึ่ง แต่พอมีสำนักข่าวเนชั่นนักข่าวเหล่านั้นก็ไม่ต้องออกไปประจำตามกระทรวงให้ที่นี่เขียนส่งกลับเข้ามาแทน”

ตะกร้าข่าว คอนเซ็ปท์หลัก NNA

ขณะนั้นมีการสร้างระบบ “ตะกร้าข่าว” ภายในองค์กรขึ้นมาให้ทุกสื่อในเครือสามารถหยิบใช้ข่าวได้อย่างเต็มที่ จากการทำงานของมดงานของสำนักข่าว ที่รับผิดชอบทั้งการเขียนข่าวด่วน ส่งข่าวเสียงเข้าวิทยุ เขียนข่าวฉบับเต็มลงหนังสือพิมพ์ ตลอดจนส่งข่าวให้ช่องทีวีหลังมีการขยายสื่อใหม่ จนแต่ละวันมีข่าวในตะกร้า 150-200 ชิ้นเลยทีเดียว ทั้งหมดนี้จึงช่วยเพิ่มศักยภาพของนักข่าวในองค์กรอย่างต่อเนื่อง บ้างจึงไปเติบโตในหลายองค์กรสื่อต่าง ๆ

ช่วงแรก ๆ SMS NEWS ของสำนักข่าวเนชั่นถือเป็นแหล่งทำเงินอย่างมาก ด้วยรูปแบบการส่งข่าวสั้นผ่านโทรศัพท์มือถือไปยังสมาชิกที่มีอยู่นับแสนคนเวลานั้น แต่ต่อมาเมื่อระบบนี้หายไปสำนักข่าวจึงทำหน้าที่บริการข่าวให้สื่อในเครือ ไม่มีกำไรโดยตรง ซึ่งนี่ก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงภายในที่เกิดขึ้นตลอดมา

โดยอดิศักดิ์ชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่องค์กรสื่อขนาดใหญ่จะสามารถดำรงตัวอยู่ได้ ในภาวะที่สื่อถูกโซเชียลมิเดียแทรกแซงการทำงานอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับสำนักข่าวที่ไม่ได้มีผลกำไรเป็นตัวชี้วัดด้วยแล้วยิ่งเป็นเรื่องยาก

“สื่อขนาดใหญ่มันจะไม่มีแล้ว พอไม่มีสำนักข่าวอาจไม่จำเป็น ถูกเปลี่ยนเป็นสื่อเฉพาะทางกันเยอะ ความจำเป็นต้องใช้(สำนักข่าว)ก็น้อยลง โดยเฉพาะของไทย แต่ก็ไม่แน่วันหนึ่งคนอาจจะวนกลับมาหาสำนักข่าว เพราะมันรูที่มาที่ไปว่าใครทำ มีตัวตนอยู่จริง”

ชูการเมืองและอาชญากรรม

ด้วยการที่สำนักข่าวเนชั่นผลิตผลงานป้อนตามสื่อในเครือ หลายคนจึงอาจไม่รู้ว่าที่นี่ทำอะไรกันบ้าง แต่ที่จริงด้วยการมีบรรดามดงานอยู่แถบทั้งส่วนกลาง และภูมิภาค ข่าวที่ทำจึงครอบคลุมทั้งประเด็นรายวัน ข่าวพิเศษ ที่บ้างก็อาจเป็นคนเปิดเรื่องให้หลายสื่อตามขุดคุ้ย บางก็ร่วมกระโจนเข้าไปร่วม โดยที่น่าจะเป็นประเด็น “อาชญากรรม” และ “การเมือง”

“สายการเมือง สายรัฐสภา สายทำเนียบรัฐบาล กระทรวงมหาไทย เป็นจุดเด่นเขา ก็มีข่าวเจาะอยู่บ่อย ๆ ทั้งจากฝั่งรัฐบาล จากฝ่ายนักการเมืองบ้าง”

บรรยง อินทนา ในฐานะบรรณาธิการอาวุโสของหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เป็นอีกหนึ่งคนทำงานที่ได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานครั้งนี้ เล่าว่าถึงการทำงานนักของนักข่าวสำนักข่าวเนชั่น ที่จะต้องคอยตามประเด็นในแต่ละวันที่กองบรรณาธิการของสื่อแต่ละเครือต้องการ และทำงานหนักมาขึ้นไปอีกเมื่อมีการปรับโครงสร้างให้แต่ละคนทำหลายหน้าที่ โดยเฉพาะข่าวการเมืองซึ่งมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ 

รวมถึง “ข่าวอาชญากรรม” ที่เคยอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักข่าวเนชั่นก่อนที่จะโยกย้ายไปอยู่ในการดูแลของเนชั่นทีวี บรรยง เล่าว่า “นักข่าวกองปราบ” หรือ “นักข่าวกรมตำรวจ” เป็นกลไกสำคัญที่ผลิตงานแถบทั้งหมด ก่อนที่จะพัฒนาเป็น “ข่าวรถตระเวร” ที่คอยป้อนข้าวอาชญากรรมที่ครอบคลุมทั้งประเทศ

มากกว่ายุบองค์กรคือ “ยุบความเป็นนักข่าว”

อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ ศิษย์เก่าสำนักข่าวเนชั่นอีกคนหนึ่งที่อยู่มายาวนานกว่า 19 ปี นับตั้งแต่เป็นนักศึกษาจบใหม่ทีวิ่งข่าวภาคสนาม สะท้อนความน่าเสียดายที่ไม่ได้อยู่ที่การยุบสำนักข่าว แต่เป็นการสูญเสียบรรดามดงานที่เป็นกลไกสำคัญของการผลิตข่าวคุณภาพที่เป็นต้นฉบับ

“ความน่าเกลียดของระบบธุรกิจคือว่าอะไรไม่ทำเงินมันจะถูกตัดทิ้งเสมอ ความเป็นนักข่าวมันไม่ทำเงิน มันก็ถูกตัดทิ้งเป็นลำดับต้น ๆ”

อรรถยุทธ เล่าย้อนครั้งเป็นนักข่าวใหม่ที่ได้มาประจำการในสำนักข่าวเนชั่น ด้วยจุดแข็งที่มีสื่อในมื้อหลายอย่าง ทำให้นักข่าวที่นี่จะมีโอกาสพัฒนาตัวเองในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การสัมภาษณ์ การเขียน การพูด ตลอดจนการถ่ายทำ และยิ่งกว่านั้นการเปิดโอกาสให้คลุกคลีกับแหล่งข่าวโดยตรง คือจุดเด่นที่มักนำมาซึ่งข่าวเชิงลึก และรวดเร็ว จึงมีการให้ความสำคัญกับบรรดานักข่าวภาคสนามมาโดยตลอด

แต่เมื่อเวลาผ่านไปทุกอย่างก็ย่อมต้องมีการเปลี่ยนแปลง หลาย ๆ ส่วนของสำนักข่าวถูกโยกย้ายให้ไปประจำในหลายสื่อในเครือแทน จนไม่นานก็เหลือเพียงโต๊ะข่าวการเมืองและอาชญากรรมที่ยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของสำนักข่าวเนชั่น แต่ท้ายที่สุดทั้งหมดก็ถูกโยกย้ายไปสังกัดภายใต้การดูแลของเว็บไซด์คมชัดลึกออนไลน์ ซึ่งก็คล้ายกับว่าสำนักข่าวเนชั่นถูกลดบทบางลงไปนานแล้ว 

ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหนคนทำงานก็ยังคงทำอย่างเต็มกำลัง นี่เป็นสิ่งที่อรรถยุทธถ่ายทอดว่าเมื่อยังคงมีนักข่าวภาคสนามอยู่ ระบบการทำงานก็ไม่มีความแตกต่างมากนัก ทุกยังมีความใกล้ชิดกับแหล่งข่าวจนได้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจน สามารถพัฒนาต่อเป็นชิ้นงานพิเศษส่งกลับมายังส่วนกลาง ให้ทุกคนหยิบยกข่าวไปใช้งานได้ โดยไม่ได้มีใครสนใจว่าสำนักข่าวยังคงมีอยู่หรือไม่ แต่การปลดนักข่าวครั้งนี้ ซึ่งหมายรวมบรรดานักข่าวภาคสนามจึงเปรียบเหมือนการหมดสภาพความสำนักข่าวโดยสมบูรณ์

“ไม่ค่อยเสียดายสำนักข่าวเนชั่น แต่เสียดายความเป็นต้นทางของข่าว ทุกวันนี้เราหาสื่อที่เป็นต้นทางของข่าวได้น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะแต่ละที่สนุกสนานกับการดูข่าวคนโน่นคนนี่ โซเชียลมิเดีย แต่ข่าวต้นทางมันเหลือน้อยลงเรื่อย ๆ…องค์กรข่าวพอคุณตัดความเป็นนักข่าวทิ้งไป เอาข่าวจากไหน ข่าวที่คุณได้ก็คือข่าวทั่วไป ข่าวลอกเขามาบ้าง ข่าวมอนิเตอร์เฟซบุ๊ก มอนิเตอร์โซเชียลบ้าง มันขาดความเป็นข่าวใหม่”

podcast

LATEST
OUR PICKS
HOT
กำลังโหลดบทความถัดไป...

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า