SHARE

คัดลอกแล้ว

รับเงินค่าแถลงข่าว 300,000 บาทจริง ทนายตั้มแถลงยอมรับ พร้อมชี้แจงเป็นค่าเสี่ยงภัย ยืนยันไม่ได้ใช้สื่อเป็นเครื่องมือ เรียกเก็บเฉพาะลูกความที่มีกำลังจ่าย ขณะที่ ‘ชูวิทย์’ บอกไม่กลัว พร้อมกัดตอบ เตรียมร้องมารยาททนายความ จ่อฟ้องอาญา-แพ่ง เรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท

นายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม แถลงชี้แจงหลังนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองเผยภาพใบเสนอราคาในการแถลงข่าวออกสื่อเป็นเงิน 300,000 บาท ในโลกโซเชียลพร้อมระบุข้อความว่า “แถลงไป ไถไป” ยอมรับว่า มีคดีที่เรียกเก็บเงินค่าแถลงข่าวจริง เป็นคดีที่ต้องต่อสู้กับผู้มีอิทธิพล อาจถูกฟ้องกลับ และลูกความต้องมีกำลังจ่าย แต่ไม่ใช่ทุกคดีที่จะเรียกเก็บเงิน ซึ่งเงินที่เรียกเก็บนั้น เป็นค่าเสี่ยงภัย ป้องกันการถูกฟ้องกลับ

สำหรับภาพที่นายชูวิทย์นำมาโพสต์นั้น เป็นเหตุการณ์วันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา นายตี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน มาปรึกษาว่ามีญาติกดโทรศัพท์ตัวเองโอนเงิน 40 ล้านบาทเข้าเว็บพนัน จึงต้องการให้ทนายตั้มตามเรื่องกับกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) แต่เรื่องดังกล่าวเกี่ยวข้องกับนายตำรวจใหญ่ จึงมีการเสนอราคาเรียกเงินค่าฟ้องร้อง และเก็บเงินเพิ่มอีก 15% แต่เรื่องนี้ไม่ได้ตกลงกัน จึงกลายเป็นที่มาของใบเสนอราคาที่นายชูวิทย์นำออกมาเปิดเผย ยืนยันว่าไม่ได้ไถเงิน เพราะยังมีคดีอื่นๆ ที่ไม่ได้เรียกเก็บเงิน

ทนายตั้ม อธิบายว่าที่เรียกเก็บเงินเพราะทุกคนทราบดีว่าเป็นคนจริงจัง ตามคดีให้ถึงที่สุด หากถูกฟ้องกลับ ทนายจะรับหน้าเป็นกันชนให้ ถือเป็นคติที่ทนายตั้มจะจัดการให้ ส่วนอัตราค่าจ้างทนาย มีค่าใช้จ่าย เช่น ปรึกษาทางโทรศัพท์กับทีมงาน 20 นาที คิดค่าใช้จ่าย 1,000 บาท, ปรึกษากับทนายตั้ม 20 นาที คิดราคา 1,500 บาท

หากลูกความเดินทางมาที่สำนักงานทนายเพื่อพบทนายตัวเป็นๆ ค่าปรึกษา 30 นาที ราคา 3,000 บาท ยืนยันว่าโปร่งใส สามารถตรวจสอบเส้นทางการเงินได้ เพราะเสียภาษีอย่างถูกต้อง และไม่ผิดมารยาททนายความ เพราะการเรียกรับเงินถือเป็นเรื่องปกติ

ทนายตั้ม ยืนยันว่า ไม่ได้หลอกใช้สื่อ และหลังจากนี้เวลาแจ้งหมายข่าวจะระบุด้วยว่า คดีไหนได้รับเงินหรือไม่ ที่ผ่านมามีทั้งคนจน และรวยที่มาปรึกษาแต่ไม่ได้เก็บเงินทั้งหมด

เมื่อถามย้ำว่าได้รับเงินจากกรณีที่ออกมาแถลงปมเงิน 6,000,000 บาทหรือไม่

ทนายตั้ม ยืนยันว่าไม่ได้เงินจากการแฉเรื่องนายชูวิทย์รับเงิน 6,000,000 บาท แต่มีข้อมูลมาและยืนยันว่าจะยังเรียกเก็บเงินค่าแถลงข่าวต่อไป เพียงแต่ต้องเปลี่ยนถ้อยคำจากค่าแถลงข่าวเป็นค่าดำเนินการติดตามเรื่องและเงินสำหรับการถูกฟ้องร้อง

● ‘ชูวิทย์’ เตรียมร้องมารยาททนายความ จ่อฟ้องอาญา-แพ่ง เรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท

ด้านนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ กล่าวว่า เมื่อมีอาชีพทนายก็ต้องใช้กฎหมาย มีคนเดือดร้อน ถ้าไปคิดเงินเขาตอนแถลงข่าว 300,000 บาท มันไม่มีโจทก์ ไม่มีจำเลย ตัวเองก็ไม่มีหลักฐาน นั่นแปลว่า คุณพูดฝ่ายเดียวหรือไม่ ไม่คิดว่าทนายความจะคิดเงินค่าแถลงข่าว ดังนั้น สภาทนายความหรือสมาคมสื่อมวลชนควรจะพิจารณา

“เป็นทนายความต้องใช้ความสามารถทางกฎหมาย ต้องใช้หลักฐาน ใช้พยาน แต่ปรากฏว่าอีกฝ่ายใช้การแถลงข่าว ใช้สื่อเป็นเครื่องมือ นั่นไม่ใช่วิถีของทนายความ โดยอย่างยิ่งบอกว่า ตัวเองเป็นทนายประชาชน ตอนนี้มีกระบวนการพยายามที่จะมาปิดปากผม มีทั้งทนาย พวกหิวแสง นักร้องเรียน ใครฟ้องมาผมก็จะฟ้องกลับ จะสู้ในทางกฎหมาย ผมพร้อมสู้ทุกทาง ฝากไปบอกหมาลอบกัด ผมพร้อมจะกัดตอบ …ไม่กลัวมึง” นายชูวิทย์ กล่าว

สำหรับวันนี้ (27 มี.ค. 2566) นายชูวิทย์ พร้อมทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เดินทางไปที่ศาลอาญา เพื่อขึ้นศาลกรณีที่ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง คดีที่นายชูวิทย์ ฟ้องนายสันธนะ ประยูรรัตน์

ทนายอนันต์ชัย กล่าวถึงกรณีทนายตั้ม ที่แฉว่านายชูวิทย์มีการรับเงินจากสารวัตรซัวนั้น ขอแยกประเด็นเป็น 3 ประเด็น คือ

ประเด็นที่ 1 เรื่องความผิดฐานหมิ่นประมาท

การที่ทนายตั้ม แถลงข่าวในลักษณะที่กล่าวหานายชูวิทย์ ทำนองว่าเหตุที่ออกมาแฉเรื่องผิดกฎหมาย เพราะหวังให้พวกกระทำผิดกฎหมายมาหา เพื่อเรียกร้องผลประโยชน์ และกล่าวหาใส่ความว่า นายชูวิทย์รับเงินเพื่อไม่ให้เปิดโปงสารวัตรซัว จำนวน 10 ล้านบาท ไม่ใช่ 6 ล้านบาท (จำนวนเงินมากน้อยเท่าใดไม่ใช่ประเด็น) และกล่าวหาว่า กล่องดวงใจ หมายถึงบุตรชายของคุณชูวิทย์รับเงินดิจิตอล จำนวน 50 ล้านบาท และมีการเรียกรับผลประโยชน์เรื่อยๆ ซึ่งเป็นการกล่าวในช่วงเวลาที่คุณชูวิทย์แถลงหรือให้สัมภาษณ์เปิดโปงการกระทำโดยมิชอบของสารวัตรซัว โดยมุ่งหมายลดความน่าเชื่อถือ สร้างความเสียหายแก่ชื่อเสียงของนายชูวิทย์ และบุตรชาย การแถลงข่าวและให้สัมภาษณ์ของทนายตั้ม เข้าข่ายน่าจะเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า หากยังจำกันได้ นายชูวิทย์เคยออกมาประกาศผ่านสื่อมวลชนว่า เงินรางวัล 5 % รางวัลนำจับยึดทรัพย์คดียาเสพติด จะนำไปบริจาคให้โรงพยาบาลเพราะมีเงินใช้มากพออยู่แล้ว นายชูวิทย์ จึงไม่มีความจำเป็นหรืออยากได้เงินอีกแต่อย่างใด การที่ออกมาประกาศว่าการเปิดโปงทุจริตต่างๆ ครั้งนี้ เพราะว่าเห็นการทุจริตคอร์รัปชั่นต่างๆ มากมาย ที่ทำให้สังคมไทยเน่าเฟะมานานแล้ว ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีตราบที่ยังมีลมหายใจอยู่

ประเด็นที่ 2 การกระทำของทนายตั้ม เป็นการให้สัมภาษณ์และแถลงข่าวโดยไม่กลั่นกรองข้อเท็จจริงตามวิสัยของผู้ประกอบวิชาชีพทนายความโดยทั่วไป มีลักษณะชี้ช่องส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีโดยไม่มีมูลความจริง ตามข้อบังคับสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ พ.ศ. 2529 หมวด 3 ข้อ 9 “กระทำการอันเป็นการยุยงส่งเสริมให้มีการฟ้องร้องคดีกันในกรณีอันหามูลมิได้” มีโทษสูงสุดต้องถูกลบชื่อออกจากทะเบียนทนายความ ดังนั้น การกระทำของทนายตั้ม น่าจะมีความผิดมรรยาททนายความ ซึ่งจะมีการร้องสภาทนายความต่อไปแน่นอน

ประเด็นที่ 3 นายชูวิทย์ผิดในข้อหาฟอกเงินหรือไม่ ที่นำเงินที่ได้รับมาไปบริจาคต่อ

ทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 เป็นพระราชบัญญัติที่มีโทษทางอาญาผู้ที่จะมีความผิดตาม พ.ร.บ. นี้ได้จะต้องกระทำโดยเจตนาด้วย กล่าวคือ รู้ว่าเงินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดมูลฐาน หรือความผิดฐานฟอกเงิน แล้วตนรับโอน ซุกซ่อน ปกปิดแหล่งที่มา หรือครอบครอง หรือใช้เงินนั้นโดยรู้ว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ตามคำนิยามของคำว่า “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทําความผิด” มาตรา 3 และความผิดฐานฟอกเงินตาม มาตรา 5 แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏ คุณชูวิทย์ไม่รู้ และไม่มีเหตุอันควรรู้ว่า เงินที่มีผู้นำมาให้นั้นเป็น “ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด” จึงขาดเจตนา คุณชูวิทย์ไม่มีความผิดฐานฟอกเงิน

ทนายอนันต์ชัย ระบุว่า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนายชูวิทย์จะไม่ออกมาโต้ตอบในประเด็นนี้อีก ไม่ใช่เพราะกลัว แต่เพราะไม่เห็นประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ หลังจากนี้จะใช้ขั้นตอนทางกฎหมาย ให้ศาลพิจารณา โดยหากทนายตั้มพูดถึงนายชูวิทย์ให้เสียหายอีก ก็จะใช้สิทธิทางศาล ทั้งอาญาและแพ่ง เรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า