ผลวิจัยเผยสาเหตุหลักจากภาวะหัวใจล้มเหลวพุ่งสูงขึ้นในวัยทำงาน เนื่องจากภาวะโรคอ้วน-เบาหวานที่เพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน
วันที่ 21 มิ.ย. 2562 สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า งานวิจัยจากสถาบันการแพทย์นอร์ทเวสเทิร์น เมดิซิน (Northwestern Medicine) ซึ่งเป็นความร่วมมือของศูนย์ดูแลสุขภาพนอร์ทเวสเทิร์น เมโมเรียล (Northwestern Memorial Healthcare) และ คณะแพทย์ศาสตร์ไฟน์เบิร์ก มหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น (Northwestern University Feinberg School of Medicine) สหรัฐอเมริกา ระบุว่ายอดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากภาวะหัวใจล้มเหลวพุ่งสูงขึ้นในผู้ใหญ่ช่วงอายุต่ำกว่า 65 ปี
งานวิจัยนี้ได้รับตีพิมพ์ในวารสารสถาบันโรคหัวใจอเมริกา (American College of Cardiology) เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (6 พ.ค.2562) โดยอ้างอิงข้อมูลจากฐานข้อมูลออนไลน์ของศูนย์ป้องกันและควบคุมโรค (Centers for Disease Control and Prevention) ที่มีข้อมูลของปัจจัยร่วมสาเหตุการเสียชีวิตของประชาชน 47.728 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1999-2017
เหล่านักวิจัยวิเคราะห์อัตราการเสียชีวิตของผู้ใหญ่อายุตั้งแต่ 35-84 ปี ที่เสียชีวิตด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวและค้นพบเป็นครั้งแรกว่าอัตราการเสียชีวิตจากสาเหตุนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2012 แม้ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์จะมีการพัฒนาอย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมาก็ตาม
ซาดียา คาน ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะแพทย์ศาสตร์ไฟน์เบิร์กแห่งมหาวิทยาลัยนอร์ทเวสเทิร์น และแพทย์โรคหัวใจประจำสถาบันการแพทย์นอร์ทเวสเทิร์น กล่าวว่า “ความสำเร็จในการลดอัตราการเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมากำลังอยู่ในช่วงสวนทาง และสาเหตุน่าจะมาจากป่วยเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานกันมากขึ้น”
คานชี้ว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยช่วงวัยของผู้คนในสังคมปัจจุบัน ประกอบกับอัตราที่พุ่งสูงขึ้นของการเป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวานซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้ ซึ่งข้อมูลเมื่อไม่นานมานี้ที่เผยว่าค่าเฉลี่ยอายุขัยของชาวอเมริกันสั้นลงก็สนับสนุนสมมติฐานของคาน
ทั้งนี้ หลังจากศึกษาและทำวิจัยเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปเหล่านักวิจัยจะพยายามทำความเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่สร้างความแตกต่างในการเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งเกี่ยวพันถึงภาวะหัวใจล้มเหลว