FutureofWork: แม้ผู้บริหารหลายคนจะโหยหา ‘การกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ’ (ซึ่งทำให้เห็นว่าบรรดาผู้บริหารมองพนักงานเชื่อมโยงกับสถานที่ทำงานขนาดไหน)
แต่การระบาดของโควิดสอนให้เรารูว่า งานหลายประเภท โดยเฉพาะงานที่ใช้องค์ความรู้สูง เมื่อทำงานจากนอกออฟฟิศ สามารถทำสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพ (หรือมีประสิทธิภาพมากกว่า)
พอมีความจริงข้อนี้ขึ้นมา ทำให้ผู้บริหารส่วนใหญ่ระบุว่า การมาออฟฟิศ 2-3 วัน/สัปดาห์ เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ส่วนตัว การพัฒนาและบูรณาการพนักงานใหม่ การสร้างแนวคิดและสร้างวัฒนธรรมของบริษัท
และถ้าจุดประสงค์หลักของการไปออฟฟิศไม่ใช่เพื่อทำให้เสร็จลุล่วง แต่เป็นพื้นที่สำหรับการสร้างสัมพันธ์และคอมมูนิตี้แบบที่ผู้บริหารบอก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ในยุคหลังโควิด ออฟฟิศจะทำหน้าที่เป็น ‘สโมสร’ มากกว่าสถานที่ทำงาน
แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกอาชีพจะทำงานจากที่บ้านได้ หลายๆ อาชีพยังจำเป็นต้องเข้าไปทำงานที่ที่ทำงานของตัวเอง เช่น พยาบาล, ช่างเทคนิค, ผู้ดูแลเด็ก, พนักงานร้านค้าปลีกและร้านอาหาร รวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายล้านคน
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ โมเดลที่ว่า office-as-a-workplace นั้นไม่ตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานคอปกขาว หรือพนักงานที่ทำงานในสำนักงาน และคนทำงานกลุ่มที่มีความรู้อีกต่อไป
เพราะหากเดินไปในออฟฟิศสมัยนี้ ภาพที่เห็นคือพนักงานหลายคนนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงาน สวมหูฟังตัดเสียงรบกวน และจ้องจอคอมพิวเตอร์แบบเงียบๆ ซึ่งถ้าหากบริษัทไหนยังอยากให้พนักงานเข้าออฟฟิศทุกวันอยู่ ก็อาจต้องทบทวนตัวเองใหม่ เมื่องานส่วนใหญ่ทำได้ดีกว่าจากระยะไกลด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือ ไม่ใช่ทุกคนจะมีพื้นที่ที่สะดวกสบายในการทำงานที่บ้าน และการเปลี่ยนสถานที่ทำงานเป็นสโมสรสำหรับพนักงานระดับหัวกะทิ ก็อาจทำให้สถานการณ์ความไม่เท่าเทียมกันรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก
แล้วออฟฟิศทำตัวเป็นสโมสร ทำอย่างไร?
ในยุคเศรษฐกิจหลังโรคระบาด พื้นที่สำนักงานที่พนักงานมารวมตัวกัน ควรจะให้ความรู้สึกและจุดประสงค์ที่แตกต่างไปจากเดิม
โดยออฟฟิศที่ทำตัวเป็นสโมสร จะมีคนไม่กี่คนทำงานอยู่ที่โต๊ะ แต่คนกลุ่มนี้จะพูดคุยกัน สุมหัวกัน แม้บางครั้งจะเป็นการประชุม แต่บ่อยครั้งจะเป็นการสนทนาที่ไม่เป็นทางการที่อาจคล้ายๆ กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ชั่วโมงแห่งความสุข’
มากไปกว่านั้นคือ ออฟฟิศอาจต้องปรับพื้นที่ให้เหมาะสมสำเร็จการเป็นสโมสรด้วย
ในบทความของ Harvard Business Review ที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว เขียนขึ้นโดย Anne-Laure Fayard, John Weeks และ Mahesh Khan บอกว่า การเปลี่ยนไปใช้รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขำเป็นต้องมีการออกแบบออฟฟิศใหม่
โดยบริษัทหลายแห่งกำลังปรับพื้นที่ให้มีโซฟาและพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น สร้างบรรยากาศออฟฟิศให้มีเสียงเพลง แทนที่จะเป็นห้องเงียบๆ เหมือนห้องสมุด
ด้าน Erica Pandey ที่เพิ่งเขียนใน Axios รายงานว่า 60% ของบริษัทกำลังออกแบบสำนักงานใหม่เพื่อรองรับการเปลี่ยนไปใช้การทำงานแบบไฮบริด โดยหลายแห่งยกเลิกออฟฟิศแบบไพรเวท และใช้พื้นที่มากขึ้นในการจัดที่นั่งแบบคาเฟ่
ขณะที่ Derek Thompson เขียนในสื่ออย่าง Atlantic ว่าควรแยกแยะระหว่าง ‘งานหนัก’ (ซึ่งหมายถึงงานจริงๆ ที่ทำได้ดีจากการทำงานระยะไกล) และ ‘งานเบา’
“งานเบา หมายถึงงานเบาๆ อย่างการได้กินกาแฟกับเพื่อนร่วมงาน พูดคุยกันเรื่องกีฬา การล้อเลียน นินทา หรือแม้แต่สร้างความรำคาญให้กับคนอื่นในออฟฟิศ”
และหากพื้นที่ที่ใช้ร่วมกันเป็นพื้นที่หลักที่พนักงานจะได้ร่วมพบปะสังสรรค์ คำถามคือ ออฟฟิศควรจะมีโต๊ะหรือห้องเล็กๆ ที่ซัพพอร์ตการทำงานเดี่ยวต่อไปหรือไม่?
และอีกคำถามก็คือ เวลาที่ดีที่สุดในการมาพบปะกัน ยังควรเป็น 09.00-17.00 น. จริงหรือ ในเมื่อพนักงานแต่ละคนก็มีความรับผิดชอบต่อครอบครัวต่างกัน, บางทีมอาจต้องการพบปะกันเพื่อกินอาหารเช้าร่วมกัน หรือพบกันในคลาสออกกำลังกาย
ขณะที่บางทีมอาจอยากเจอกันตอนเย็นเพื่อไปดื่มหรือกินมื้อเย็นแบบเป็นทีม ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานด้วยซ้ำ
ดังนั้น บริษัทอาจจูงใจให้พนักงานมาพบกันด้วยการมอบเงินค่าอาหารให้สำหรับการไปกินอาหารร่วมกันเป็นทีม เป็นต้น
คำถามถัดมาคือ หากเป้าหมายหลักของการให้ผู้คนมารวมกัน คือการให้พนักงานมีปฏิสัมพันธ์แบบเห็นหน้ากัน ถ้าอย่างนั้น ออฟฟิศก็ควรบังคับให้พนักงานลืมๆ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไว้ในกระเป๋าไปเลยหรือไม่?
โดยพนักงานรุ่นเก๋ารายหนึ่งกล่าวว่า เขาเข้าสำนักงานใหญ่ของบริษัทเดือนละ 1-2 ครั้ง โดยตั้งใจทิ้งแล็ปท็อปไว้ที่บ้าน เพราะเป้าหมายของการออฟฟิศคือการพูดคุยกับผู้คน และไม่ต้องการให้คอมพิวเตอร์มาหลอกล่อให้ตัวเองไปส่งอีเมลหรือทำงานที่ทำได้จากระยะไกล
ปัจจุบันบริษัทหลายแห่งเริ่มปรับตัวแล้ว และพยายามปรับปรุงวิธีการพบปะสังสรรค์ของพนักงานในช่วงเวลาอันจำกัดในออฟฟิศ
ตัวอย่างเช่น WeWork บริษัทผู้ดำเนินธุรกิจสร้างและให้เช่าโคเวิร์กกิ้งสเปซ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้จะมีเรื่องฉาวกรณีของผู้อก่อตั้ง WeWork และรูปแบบทางการเงินที่ไม่น่าไว้วางใจ
แต่ในช่วงรุ่งเรือง บริษัทก็มีสร้างโอกาสให้คนที่ทำงานในพื้นที่ของตน ได้พบปะสังสรรค์ สร้างเครือข่าย และทำงานร่วมกัน
โดย WeWork สนับสนุนให้ผู้คนมารวมตัวกันและโต้ตอบกันในพื้นที่ส่วนกลาง มีเครื่องดื่มและของว่างมากมาย มีการพูดคุยในที่อย่างเป็นทางการบ้าง และมีกิจกรรมสนุกๆ ที่ไม่เป็นทางการ เช่น เล่นเกม และการแข่งขัน เป็นต้น
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีพนักงานบางส่วนที่แม้จะทำงานจากระยะไกลได้ แต่ก็ยังอยากกลับไปทำงานที่ออฟฟิศแบบช่วงก่อนโควิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเหตุผล สไตล์ และความรู้สึกส่วนตัว ขณะที่หลายคนชอบการทำงานจากระยะไกลมากกว่า
ดังนั้น ทั้งบริษัทและเพื่อนพนักงานด้วยกันเอง จะต้องปรับตัวให้เข้ากับความชอบส่วนบุคคลเหล่านี้ และยอมรับว่าการมีความหลากหลายนั้นเป็นเรื่องปกติของการอยู่ร่วมกัน
ที่มา : https://www.wsj.com/articles/the-post-pandemic-office-should-be-a-clubhouse-11641482830?fbclid=IwAR1jTlHOYXHaDrvO6EX7TvxrRV0VUZCNLgW71Y2L53tCMuMx7Fnb1wyRdhY