OLYMPOP มากกว่าความสนุก รวมพลัง T-POP สู่เส้นทาง Global Stage

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาใครได้ไปงาน OLYMPOP กันบ้าง งานมหกรรมกีฬาและคอนเสิร์ตสุดยิ่งใหญ่ของวงการ T-POP เลยก็ว่าได้ ด้วยไอเดียสุดน่ารักรวมศิลปินเกือบจะทุกค่ายมาแข่งกีฬาสีกัน

แน่นอนว่ารวมพลังแฟนคลับ T-POP แทบทั้งวงการไว้ที่นี่

วิธีการแข่งขันแบ่งออกเป็น 2 สีคือน้ำเงินกับส้ม ศิลปินที่แต่ละคนชื่นชอบแม้จะอยู่วงเดียวกันแต่ก็ถูกคละกระจัดกระจายกันไป ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่สีเดียวกัน ทำให้เกิดปรากฎการณ์น่าประทับใจคือแฟนด้อมจากแต่ละด้อม มารวมตัวกันเชียร์เมนที่อยู่สีเดียวกันสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ให้วงการ T-POP

ส่วนบรรยากาศภายในงานมีทั้งแข่งกีฬา และโชว์พิเศษจากศิลปิน เรียกว่า “ทำถึง” เพราะงานเริ่มตั้งแต่บ่าย 2 จบงานราวๆ ตี 1 ให้เวลาศิลปินได้อยู่กับแฟนๆ อย่างยาวนาน

แต่อีกจุดสำคัญหนึ่งของงานนี้ ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ว่านอกจากมองความสนุก ความบันเทิงเสิร์ฟแฟนคลับแล้ว แต่การรวมตัวเหล่าศิลปินข้ามค่ายเกิดขึ้น คือการที่ทุกฝ่ายกระโดดลงมาช่วยปั้นวงการ T-POP ให้กลายเป็น ‘วัฒนธรรมระดับชาติ’ ที่ช่วยกันพัฒนาให้เป็น “National Brand” ส่งออกไปสู่ระดับโลกได้อีกด้วย 

และแน่นอนว่าเพิ่มทั้ง “คุณค่า” และ “มูลค่า” ให้กับวงการ  T-POP เลยทีเดียว

พอมาดูการสร้างมูลค่าการตลาดในงาน OLYMPOP เราจะเห็นว่าสปอนเซอร์หลักเจ้าใหญ่อย่าง Pepsi กระโดดเข้ามาร่วมสนับสนุนหลัก คำถามคือ นอกจากความสนุกแล้ว งานนี้สะท้อนอะไรบ้างในเชิงธุรกิจ และแบรนด์ใหญ่ที่เข้ามาเป็นสปอนเซอร์ได้อะไรกลับไป?

[ Pepsi ได้อะไร ถ้ามาเป็นสปอนรายใหญ่ในงานนี้ ]

ในมุมการตลาดสิ่งที่ Pepsi จะได้ผลตอบแทนกลับไปจากงานนี้ก็คือเรื่องของการสร้างแบรนด์ดิ้งและการรับรู้ เพราะถ้าดูจากชื่องาน “PEPSI Presents OLYMPOP” แบรนด์ไม่ได้เป็นแค่สปอนเซอร์ แต่เป็น “ผู้นำเสนอ” หรือ Presenting Sponsor เพลย์เยอร์หลักที่สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทหลักในการผลักดันงานนี้ให้เกิดขึ้นจริง

แน่นอนว่าเป็นการสร้างการจดจำชื่อแบรนด์ผ่านทุกช่องทางการสื่อสารของงาน ไม่ว่าจะเป็นเวที โปสเตอร์ ตั๋วเข้างาน หรือคอนเทนต์บนโซเชียลมีเดียนั่นเอง พูดง่ายๆ ว่าได้พื้นที่ใหญ่ให้คนพูดถึงแบรนด์มากขึ้น 

นอกจากนี้ ในงาน Pepsi ยังใช้พื้นที่ในงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดจัดบูธขายเครื่องดื่มและอาหารคอยซัพพอร์ตแฟนๆ โดยความพิเศษของงานนี้คือ PEPSI SPECIAL MOCKTAIL กับ 2 สูตร Passionfruit Pop เเละ Blueberry Mint ที่เปิดขายในงานนี้เท่านั้น 

และไฮไลต์สำคัญที่แฟนๆ ต่างพูดถึงกันในงานคือ SPECIAL STAGE “หน้าร้อน (ไม่) ใจร้าย (LOVE HEAT)” งานนี้ดึง 4 ศิลปินตัวท็อป ปอร์เช่ (XX), มาเบล (PiXXiE), วิคเตอร์ (PROXIE), โจริญ (4EVE) มาร่วมโชว์สุดปังในสไตล์ Pepsi

ยังรวมไปถึงกลยุทธ์ Fandom Marketing ที่ศิลปินแนะนำหรือเกี่ยวข้องกับแบรนด์ใด แฟนคลับก็พร้อมจะสนับสนุนแบรนด์นั้นไปด้วยในตัว นำไปสู่การรับรู้แบรนด์ การจดจำ และยอดขายแบบทรงพลังโดยธรรมชาติที่เกิดจากพลังแฟนคลับจริงๆ

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ Pepsi ได้จากการเป็นสปอนเซอร์ใหญ่ในงานการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ในบรรยากาศที่ทั้งสนุก มีพลัง และเป็นไวรัล นอกจากจะช่วยสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ให้ “คูล” ขึ้นในสายตาแฟน T-POP แล้ว 

ยังช่วยต่อยอดการจดจำแบรนด์ในแบบที่ให้แฟนๆ ได้สัมผัสแบรนด์ผ่านประสบการณ์จริงแทน

[ ยืดเปล่าและ Meta เสริมแกร่ง ]

นอกจากผู้สนับสนุนหลักแล้ว ยังมีพวกสินค้า Merchandise เป็นอีกหนึ่งส่วนประกอบที่คอยส่งเสริมแบรนด์ ศิลปิน และกิจกรรมไปด้วยกัน 

เช่น แบรนด์ยืดเปล่า (YUEDPAO) เป็นอีกแบรนด์ที่แสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในวัฒนธรรมป๊อปสามารถเปลี่ยนสินค้าให้กลายเป็นสื่อกลางระหว่างแฟนคลับและศิลปินได้

ที่ผ่านมา YUEDPAO ยังเคยร่วมงานกับศิลปินชื่อดัง อย่าง 4EVE และ ATLAS ในการออกแบบ Merchandise แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจลึกซึ้งใน DNA ของวงการ T-POP และบทบาทในฐานะ “Fashion Partner” ที่เป็นมากกว่าแบรนด์เสื้อผ้า แต่คือผู้ร่วมสร้างวัฒนธรรม

ล่าสุดในงาน OLYMPOP YUEDPAO ได้ออกแบบเสื้อรุ่น Limited Edition ให้กับ 2 ทีมคือ Blue Devil และ Orange Monster ซึ่งไม่ใช่แค่ของที่ระลึกธรรมดา แต่เป็นเสื้อที่ศิลปิน T-POP ใส่แข่งจริงในงาน ทำให้แฟนคลับรู้สึกว่าได้ใกล้ชิดและเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์

เป็นการใช้ Emotional Branding ที่ไม่เพียงแค่สร้างความรู้สึกดีต่อแบรนด์ แต่ยังต่อยอดเป็นยอดขายจริงผ่านช่องทางออนไลน์ และขยายฐานแฟนของแบรนด์แฟชั่นไปสู่กลุ่มแฟน T-POP อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะยังสามารถต่อยอดเป็นรายได้จริงจากการเปิดขายผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งทำให้แฟนๆ ที่ไม่ได้มาร่วมงานก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของงานผ่านการซื้อเสื้อได้เช่นกัน

ขณะที่อีกหนึ่งพาร์ทเนอร์สำคัญคือ Meta เจ้าของแพลตฟอร์ม Facebook, Instagram และ Threads ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนในด้าน “Digital Fan Engagement”

โดยเปิดพื้นที่แฮชแท็ก #OLYMPOPDAY บน Threads ให้แฟนๆ ทั่วโลกได้แชร์โมเมนต์จากงาน สร้างกระแสไวรัลและความรู้สึกร่วม แม้จะไม่ได้อยู่ที่หน้างานจริง ถือเป็น ตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีมาเสริมอารมณ์และประสบการณ์แฟนเพลง ซึ่งมีผลอย่างมากในการขับเคลื่อน T-POP สู่ตลาดโลก

[ ทำถึงเพื่อวงการ T-POP ไทยไปไกลระดับโลก ]

สิ่งที่งาน OLYMPOP สะท้อนให้เห็นคือ การจับมือกันของหลายฝ่าย ไม่ว่าจะศิลปิน แบรนด์ต่างๆ และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เปิดพื้นที่ให้แฟนๆ ทั้งหมดนี้ไม่ได้ทำเพียงเพื่อหวังยอดขายในระยะสั้นหรืออีเวนต์ชั่ววูบเท่านั้น แต่เป็นการ ‘ลงทุนร่วมกัน’ เพื่อสร้างพื้นฐานที่มั่นคงให้กับวงการ T-POP ต่อไป

เมื่อแบรนด์เข้ามาช่วยสนับสนุน ศิลปินก็มีเวทีได้แสดงศักยภาพ แฟนคลับก็ได้มีประสบการณ์ดีๆ และสื่อหรือแพลตฟอร์มออนไลน์ก็ช่วยส่งต่อกระแสไปไกลทั่วโลก สิ่งเหล่านี้รวมกันคือ การช่วยกันสร้างระบบนิเวศของ T-POP ให้แข็งแรง เพื่อให้วงการเติบโตได้ต่อเนื่องและไปไกลในระดับสากล

เพราะถ้าอยากให้ T-POP โตจริง ไม่ใช่แค่คนในวงการต้องผลักดันกันเอง แต่ต้องมีแรงสนับสนุนจากหลายมุม มาช่วยกันวางรากฐานผลักให้ไปไกลยิ่งขึ้น ปั้นวงการ T-POP ให้กลายเป็นวัฒนธรรมระดับชาติ ที่สามารถเป็น “National Brand” และส่งออกไปต่างประเทศได้