ผลวิจัยชี้โควิด ‘โอไมครอน’ เสี่ยงติดเชื้อซ้ำมากกว่า ‘เดลตา’ 5 เท่า

อังกฤษเปิดผลวิจัยชี้ไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำมากกว่าสายพันธุ์เดลตามากถึง 5 เท่า และยังไม่พบข้อบ่งชี้ว่าโอไมครอนมีความรุนแรงน้อยกว่าเดลตา 

วันที่ 18 ธ.ค. 2564 สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน เปิดเผยผลการวิจัยล่าสุด พบข้อบ่งชี้ว่าไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำมากกว่าสายพันธุ์เดลตา 5 เท่า และยังไม่มีหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจะมีความรุนแรงน้อยกว่าสายพันธุ์เดลตา 

การวิจัยดังกล่าวอิงข้อมูลจากสำนักงานความมั่นคงด้านสุขภาพของสหราชอาณาจักรและสำนักงานบริการสุขภาพแห่งชาติ ในแง่ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่ถูกพบจากการทดสอบ PCR ในระหว่างวันที่ 29 พ.ย.-11 ธ.ค.

“เรายังไม่พบหลักฐานว่าความเสี่ยงในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลและอาการของผู้ติดเชื้อโอไมครอนมีความรุนแรงแตกต่างไปจากผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา” รายงานการวิจัยระบุแม้จะเสริมว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลของผู้ป่วยยังคงมีอยู่อย่างจำกัด

ข้อมูลในเอกสารการวิจัยซึ่งลงวันที่ 16 ธ.ค. ระบุว่า ผู้ติดเชื้อโอไมครอนมีความเสี่ยงในการติดเชื้อซ้ำเพิ่มขึ้น 5.4 เท่า เมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดลตา จากการวิจัยซึ่งดำเนินการโดยมีการควบคุมสถานะการฉีดวัคซีน, อายุ, เพศ, เชื้อชาติ, สถานะการแสดงอาการ, ภูมิภาค และวันที่เก็บตัวอย่าง

ทั้งนี้ อิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน ระบุในแถลงการณ์ว่า การติดเชื้อในอดีตอาจสามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำจากไวรัสโอไมครอนได้เพียง 19% เท่านั้น แต่ข้อมูลดังกล่าวนี้ยังไม่ได้รับการทบทวนจากสถาบันอื่น ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติก่อนที่จะมีการเปิดเผยผลการวิจัยต่อสาธารณชน 

นักวิจัยยังพบอีกว่า มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจะแสดงอาการป่วยของโรคเมื่อเทียบกับผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา เมื่อติดเชื้อหลังจากที่ได้รับวัคซีนเข็มสองแล้วเป็นเวลามากกว่า 2 สัปดาห์ หรือติดเชื้อหลังจากได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้น 2 สัปดาห์ขึ้นไป โดยการศึกษานี้อิงจากผู้ที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์หรือแอสตร้าเซนเนก้า

ศาสตราจารย์นีล เฟอร์กูสัน หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า “การศึกษาครั้งนี้เป็นหลักฐานสำคัญเพิ่มเติมที่เข้ามาสนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่าไวรัสสายพันธุ์โอไมครอนสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันจากวัคซีนหรือการติดเชื้อก่อนหน้านี้ได้ ซึ่งความสามารถในการหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้เอง ทำให้โอไมครอนเป็นภัยคุกคามที่สำคัญต่อสุขภาพของประชาชน”