ผลศึกษาญี่ปุ่นพบ ‘โอไมครอน’ ติดง่ายกว่า ‘เดลตา’ 4.2 เท่า

รายงานที่นำเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นชี้ว่า เชื้อโอไมครอนแพร่ง่ายกว่าเดลตาเกิน 4 เท่า ในการศึกษาเบื้องต้น

วันที่ 9 ธ.ค. 2564 สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานผลการศึกษาเบื้องต้นจากนักวิทยาศาสตร์ในญี่ปุ่น ที่ระบุว่า เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน มีคุณสมบัติในการแพร่จากคนสู่คนได้มากกว่าสายพันธุ์เดลตา 4.2 เท่า 

ฮิโรชิ นิชิอุระ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่กระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการวางโมเดลคณิตศาสตร์เกี่ยวกับโรคติดต่อ ได้นำข้อมูลจีโนมจากจังหวัดกัวเต็งในแอฟริกาใต้มาทำการวิเคราะห์  

ผลการศึกษาที่นำเสนอต่อคณะกรรมการของกระทรวงสาธารณสุขพบว่า สายพันธุ์โอไมครอนนั้นแพร่ได้ง่าย และหลีกหนีภูมิคุ้มกันทั้งที่เกิดตามธรรมชาติและเกิดจากวัคซีนได้มากขึ้น

รายงานของศาสตราจารย์นิชิอุระยังไม่ได้ผ่านกระบวนการตรวจทานแบบ Peer Review และยังไม่ได้ตีพิมพ์ในวารสารใดๆ โดยครั้งนี้เป็นการนำวิธีแบบเดียวกับที่เคยใช้เมื่อเดือนก.ค. ในการศึกษาเพื่อคาดการณ์ผลกระทบจากสายพันธุ์เดลตาต่อการแข่งขันโอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว ซึ่งได้รับการตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Eurosurveillance มาแล้ว

แม้ว่าหลักฐานล่าสุดที่ออกมาจากหลายแห่งจะพบว่าเชื้อโอไมครอนแพร่เชื้อดีกว่าเดลตา แต่จะไม่ทำให้เกิดอาการป่วยหนักมากขึ้น ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่ทั่วโลกก็ยังคงไม่คลายความกังวล และกำลังรอข้อมูลที่ทำการศึกษาเพิ่มเติมออกมาต่อไป

นับตั้งแต่มีการค้นพบสายพันธุ์โอไมครอน แอฟริกาใต้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นเกือบ 2 หมื่นรายต่อวัน แต่หากดูตัวเลขก่อนหน้านั้น จะพบว่าแอฟริกาใต้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงหลักร้อยติดต่อกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ แม้จะมีประชากรที่ได้รับวัคซีนครบโดสเพียง 26%

ในกรณีนี้ ศาสตราจารย์นิชิอุระให้ความเห็นว่า การที่อัตราการฉีดวัคซีนในแอฟริกาใต้มีไม่ถึง 30% อาจจะทำให้หลายคนติดเชื้อและมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้ว ต่อจากนี้จะต้องศึกษาเทรนด์ในอนาคตว่าจะเกิดผลขึ้นในแบบเดียวกันหรือไม่ในกลุ่มประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีน mRNA สูง