SHARE

คัดลอกแล้ว

#opinion คดีที่สร้างความสะเทือนใจให้สังคมมากจริงๆ ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คือข่าวเจ้าของร้านตัดผม ใช้มีดฆ่าสามี-ภรรยา ที่เป็นลูกค้าตายหน้าร้าน ต่อหน้าลูกสาวอายุ 8 ขวบ

ตอนแรกผมคิดว่า ความเห็นในโลกออนไลน์ของผู้คน จะเทไปทางเดียว คือต้องด่าฆาตกรอยู่แล้ว แต่ไปๆ มาๆ กลับมีคนจำนวนไม่น้อยเทไปตำหนิผู้เสียชีวิต เช่น “เรื่องมากนัก ก็ต้องโดน” หรือ “ผมสั้นเดี๋ยวก็ยาว จะไปโวยวายให้โดนแทงทำไม” กลายเป็นว่าคนตายกลายเป็นคนผิดในเรื่องนี้แทน

เหตุการณ์นี้ เริ่มต้นวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา เมื่อ น.ส.วริศรา วิมูลรักชาติ อาชีพนักแสดงตัวประกอบ ไปตัดผมกับร้านชื่อ Pimmy Hair Salon ที่ห้างโลตัส ในเขตจังหวัดปทุมธานี ปรากฏว่าช่างทางร้าน ตัดออกมาสั้นเกินไป ไม่ตรงตามที่ น.ส.วริศราต้องการ

ทำให้วันที่ 19 สิงหาคม น.ส.วริศรา และสามี นายวีรพงษ์ พุ่มพฤกษ์ มาที่ร้านอีกครั้ง เพื่อเรียกร้องขอความรับผิดชอบ และได้โทรคุยกับเจ้าของร้าน ชื่อ นายประสาท ร่างใหญ่ ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันอย่างรุนแรง ไม่สามารถหาทางออกร่วมกันได้ เจ้าของร้านพูดในสายว่า “เอาเป็นว่าเดี๋ยวคุณมาเจอผมพรุ่งนี้”

สามีของน.ส.วริศรา กล่าวตอบโต้ไปว่า “แล้วคุณจะรับผิดชอบไหม ถ้าไม่รับผิดชอบผมฟ้อง” เจ้าของร้านตอบกลับไปว่า “คุณค่อนข้างก่อกวนร้านผมแล้วนะ แล้วก่อกวนผิดคนด้วยจะบอกให้”
วันต่อมา 20 สิงหาคม น.ส.วริศรา ไม่ได้เกรงกลัวคำขู่จากเจ้าของร้าน เธอกลับไปที่ร้านทำผมอีกครั้ง เพื่อเคลียร์กันต่อหน้าเลยว่า ทำไมต้องด่ากันทางโทรศัพท์ว่าไปก่อกวน โดยเธอเอาสามี และลูกสาวคนเล็กอายุ 8 ขวบไปที่ร้านด้วย

เมื่อเธอไปถึง เจ้าของร้านก็ไปตามที่นัดกันจริงๆ แต่มีการพกมีดทำครัวมาด้วย พอมาถึงทั้งสองฝ่ายก็โต้เถียงกันอย่างรุนแรง ฝ่าย น.ส.วริศรา บอกว่าจะมีการร้องเรียนโลตัส และ แจ้งสคบ. ก่อนจะบอกนายประสาทว่าไม่ต้องมาขู่กันหรอก

สุดท้ายเรื่องจบลงตรงที่ นายประสาท ตะโกนว่า “กูไม่ขู่ กูของจริง” แล้วใช้มีดแทงไปที่ซี่โครงของ น.ส.วริศรา ตามด้วย แทงไปที่คอของนายวีรพงษ์ และเหตุการณ์ทั้งหมด เกิดขึ้นต่อหน้าต่อตา ลูกสาวอายุ 8 ขวบที่ยืนอยู่ตรงนั้น

น.ส.วริศรา และ นายวีรพงษ์ เสียชีวิตหน้าร้านทำผม ขณะที่เจ้าของร้านมือมีด ก็วิ่งหลบหนี ก่อนจะยอมมอบตัวในวันต่อมา โดยตำรวจแจ้ง 2 ข้อหาคือ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และ พกอาวุธมีดไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร

ในคดีนี้ บางคนในโลกออนไลน์จะคอมเมนต์ในทิศทางปกป้องเจ้าของร้าน บอกว่าก็ลูกค้าเรื่องเยอะเอง กลับมาหาเขา 2-3 รอบ แถมขู่ว่าจะฟ้อง ก็เหมือนไปยั่วโทสะเจ้าของร้านน่ะสิ เจอคนจริงก็เลยโดนแทงไง
แน่นอน ผมเข้าใจว่า ลูกค้ารายนี้คงไม่ได้เจรจากันโดยง่าย ไม่งั้นคงไม่ต้องคุยกันหลายรอบขนาดนี้ และที่ผ่านมาเจ้าของร้านอาจจะมีประสบการณ์ไม่ดีกับเคสอื่นมาก่อน อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่ข้ออ้างที่จะฆ่าคนได้

1) ต่อให้โต้เถียงกันขนาดไหน ก็ไม่มีสิทธิ์ทำร้ายร่างกายของใคร อันนี้ไม่ใช่ทำร้ายเฉยๆ แต่ฆ่าเลย คือการพกมีดมาจากบ้าน มันก็ชวนคิดได้ว่ามีความพร้อมที่จะก่อเรื่องอยู่แล้ว โอเคว่าวันก่อนมีการทะเลาะกันผ่านโทรศัพท์มาก่อน อาจจะเอามีดมาป้องกันตัวก็ได้ แต่เอาจริงๆ การเจรจาเรื่องการตัดผมที่ไหน เขาพกอาวุธมาคุยกับอีกฝ่ายด้วย

2) ประเทศนี้มีกฎหมาย มีตำรวจ มีศาล ต่อให้ลูกค้าบอกว่าถ้าเขาคิดจะฟ้องสคบ. คิดว่าจะมีผลกระทบแค่ไหนเชียว เช่นเดียวกับห้างโลตัส ถ้ามีคนจะร้องเรียนเข้ามาว่าบริการลูกค้าไม่ดี ส่วนกลางเขาก็ต้องสืบสวนก่อนอยู่แล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น คงไม่ยกเลิกสัญญาเช่าที่ของทางร้านง่ายๆ อยู่แล้ว ทุกอย่างมีขั้นตอนทั้งนั้น ถ้าคุณมั่นใจว่าถูก ทำทุกอย่างด้วยความสุจริตใจ จะไปกลัวอะไรกับการโดนร้องเรียน

3) ผู้บริโภค มีสิทธิ์ไม่พอใจได้อยู่แล้วกับการบริการ เพราะเขาเป็นคนจ่ายเงินค่าตัดผม ก็ย่อมมีฟีดแบ็กได้ คือมันก็ต้องมาหาทางออกร่วมกัน และทางออกที่ว่า ไม่ใช่การใช้มีดทำครัวแน่ๆ ถ้าเจ้าของร้าน คิดว่าอีกฝ่ายเล่นเกินเบอร์ ดื้อดึง ปั่นป่วนไม่ยอมออกไปจากหน้าร้านซะที ก็แจ้งรปภ. หรือ แจ้งตำรวจไปก็ได้ จะลงมือฆ่าทำไม

4) เจ้าของร้านตั้งป้อมว่าอีกฝ่ายต้องเป็น 18 มงกุฏ กะจะมาหลอกเอาเงิน คุณใช้เกณฑ์อะไรไปตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นแบบนั้น ถ้ามั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นมิจฉาชีพจริงๆ มีวิธีมากมายที่จะแฉ ทำผ่านโซเชียลมีเดียก็ได้ แต่อันนี้เลือกใช้มีดและฆ่าแทน

5) ฆาตกร ทำการอุกอาจโดยไม่สนใจว่า มีเด็กผู้หญิงอายุ 8 ขวบ ยืนอยู่ตรงนั้น คิดดูว่ามันต้องเลือดเย็นขนาดไหน ที่เอามีดแทงซี่โครงแม่ แล้วจ้วงแทงคอพ่อ สองคนติดๆ กัน ในเวลาไม่กี่วินาที ลูกสาวต้องจดจำภาพนี้ไปตลอดชีวิตที่พ่อแม่ต้องเสียชีวิตต่อหน้า ถามว่าฆาตกรแบบนี้ควรค่ากับการเห็นใจตรงไหน

6) มีคนบอกว่า ผมเดี๋ยวก็ยาวได้ ผู้ตายจะไปโวยวายอะไรเยอะแยะ บางคนอาจไม่คิดมากก็แล้วแต่ แต่คนที่คิดมากเรื่องทรงผมมันก็มี ยิ่งผู้ตายทำงานในวงการบันเทิง ยิ่งต้องใช้ใบหน้าและทรงผมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นต่อให้เรารู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นอะไรใหญ่โต เราก็ไม่สามารถตัดสินแทนคนอื่นได้อยู่ดี มันอาจเป็นเรื่องใหญ่ของเขาจริงๆ ก็ได้

ที่ต่างประเทศ เราจะเห็นว่าการโต้เถียง การยั่วยุในสังคมเกิดขึ้นเป็นปกติ แต่การโต้เถียงทางวาจาก็ต้องจบด้วยวาจา จะล้ำเส้นไปทำร้ายร่างกายไม่ได้ เหมือนกรณีของวิลล์ สมิธ กับ คริส ร็อค ในงานออสการ์ คริส ร็อคแซววิลล์ สมิธ บนเวที ก่อนที่วิลล์ สมิธจะขึ้นมาตบหน้า 1 ฉาด กระแสสังคมที่อเมริกาไม่มีใครว่าอะไรคริส ร็อค ตรงข้ามกับวิลล์ สมิธที่โดนถล่มยับ เพราะถ้าคุณไม่พอใจก็ตอบโต้ด้วยการพูดสวนกลับ หรือแจ้งความก็ได้ ไม่ใช่ใช้กำลังแบบนั้น

นอกจากนั้น ลองคิดดูว่า ถ้าหากเราเจอการบริการที่ไม่ดี เรามีสิทธิ์จะร้องเรียนเพื่อความเป็นธรรมของตัวเองไหม หรือต้องเงียบๆ ไป เพราะกลัวว่าจะถูกอีกฝ่ายฆ่าตาย ถ้าการเรียกร้องสิ่งที่ควรได้รับ ไม่สามารถทำได้ แล้วประเทศนี้จะอยู่กันยังไง

เช่น ถ้าหากสั่งฟู้ด เดลิเวอรี่ แล้วขนส่งของทำอาหารเราหกเละเทะ เราก็ไม่ควรไปตำหนิเขาใช่ไหม เพราะเดี๋ยวอีกฝ่ายชักปืนออกมายิง?

ถ้าหากไปร้านอาหาร แล้วมีแมลงวันตกในจานอาหาร เราก็ไม่ควรไปตำหนิเชฟ เพราะเดี๋ยวเชฟจะชักมีดออกมาแทง ?

ถ้าหากช่างทำผม ย้อมสีให้เราผิด ตัดผิดทรงจากที่คุย เราก็ไม่ควรไปตำหนิเขา เพราะเดี๋ยวจะโดนฆ่าแบบเคสนี้?

สมมุติโลกเราเป็นแบบนั้นจริง เราเอาแต่โทษผู้บริโภคว่าเรื่องเยอะ แล้วไปปกป้องคนที่ใช้ความรุนแรง ประเทศนี้จะเดินหน้ากันไปแบบไหน ผู้บริโภคมีสิทธิ์ไม่พอใจ และผู้ให้บริการก็มีสิทธิ์อธิบาย รวมถึงเจรจาหาครึ่งทางร่วมกัน แต่คุณจะฆ่ากันให้ตาย หรือทำร้ายคู่กรณีให้เจ็บตัวไม่ได้เด็ดขาด

ประเทศนี้มีกฎหมาย ถ้าตกลงกันไม่ได้ ก็ขึ้นศาล ก็แจ้งตำรวจไป แต่เคสนี้กลับเลือกทางออกที่เลวร้ายที่สุด นั่นคือหยิบมีดแล้วตั้งศาลเตี้ยจัดการฆ่าลูกค้าด้วยมือตัวเอง ทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งกลายเป็นลูกกำพร้า ทั้งๆ ที่การแก้ปัญหามีมากมายแท้ๆ

บทสรุปของเรื่องนี้ คือลูกค้าตาย เจ้าของร้านติดคุก ญาติคนตายและญาติคนฆ่า ต้องอยู่อย่างเจ็บปวดในช่วงชีวิตที่เหลือ เรียกได้ว่ายับยั้งอารมณ์ไม่ได้หนึ่งครั้ง ชีวิตพังตลอดไป มันไม่คุ้มกันเลยจริงๆ

podcast

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้ และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า