สรุปผู้นำฝ่ายค้าน เผยไม่ขวาง พ.ร.ก.กู้เงิน แต่ทักท้วงการใช้เงินของรัฐบาล ย้ำถัวนหน้า-ทั่วถึง ขณะที่ อนุดิษฐ์ เปลี่ยนชื่อ พ.ร.ก. 1 ล้านล้าน เป็น พ.ร.ก.เราเป็นหนี้ด้วยกันฯ
นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร เริ่มอภิปราย พ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินวงเงินไม่เกิน 1 ล้านล้านบาท โดยสรุปว่า ในวันนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 กับตัวเลขของผู้ที่ฆ่าตัวตายจากภาวะกดดันทางเศรษฐกิจไม่ได้แตกต่างกันเลย ทำให้ต้องหาเงินจำนวนมากมากู้เศรษฐกิจไม่ให้ทรุด เป็นที่มาของ พ.ร.ก. 3 ฉบับที่รัฐบาลเสนอ ซึ่งรัฐบาลจะต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าเงินกู้จำนวนมหาศาล คนที่ร่วมจะต้องใช้เงินกู้ที่รัฐบาลกู้มาคือประชาชนทั้งประเทศ ลูกหลานที่จะต้องรับภาระในการใช้หนี้ในโอกาสต่อไปข้างหน้า ดังนั้นเม็ดเงินต้องถูกใช้ด้วยความรับผิดชอบและเกิดประโยชน์กับประชาชนแท้จริง พร้อมติงเรื่องการตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองเพื่อตรวจสอบการใช้เงินมหาศาลมีการตั้งเพียงไม่กี่คน และไม่ได้แจ้งให้ฝ่ายนิติบัญญัติรับทราบ ป้องกันไม่ให้ตีเช็คเปล่า ไร้การตรวจสอบอาจส่งผลเสียต่อประเทศชาติ
นอกจากนี้ อยากให้รัฐบาลชี้แจงการใช้จ่ายเงินในส่วนอุปกรณ์ทางการแพทย์ พร้อมตั้งคำถามว่าทำไมไม่ใช้ระบบถ้วนหน้าในการเยียวยาประชาชนเพราะ ปัญหาจากการคัดกรอง ทำให้คนเดือนร้อนไม่ได้รับเงินเยียวยา และที่น่าห่วงที่สุดคือการใช้งบส่วนฟื้นฟูเศรษฐกิจ วงเงิน 400,000 ล้านบาท ทราบว่า กระทรวงต่างๆ มีการรับตัวเลขแบ่งกันแล้ว ทั้งที่ พ.ร.ก.ฉบับนี้ยังไม่ได้ผ่านสภา จะเป็นการเปิดช่องใช้ประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ หรือนำไปทำโครงการแบบเดิมๆ ผันเงิน ย้ำฝ่ายค้านไม่ขัดข้องต่อการออกพ.ร.ก.กู้เงินเลยแต่ขอทักท้วงเรื่องการใช้เงินให้มีประสิทธิภาพ
นายสมพงษ์ ได้อภิปราย พ.ร.ก. การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบวิสาหกิจ หรือให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) เกรงว่าจะไม่ถึงมือธุรกิจเอสเอ็มอีรายเล็ก เนื่องจากการกู้เงินต้องมีเครดิตดี แต่เอสเอ็มอีในประเทศที่ 3-4 ล้านบริษัท มีเครดิตดี แค่ 1 แสนบริษัท ดังนั้นต้องกำหนดหลักเกณฑ์ในธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เงินถึงมือเอสเอ็มอีรายเล็ก
ต่อจากนั้น นาวาอากาศเอก อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.เพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายต่อจากผู้นำฝ่ายค้าน โดยระบุว่า พ.ร.ก. 1 ล้านล้าน เรียกอีกชื่อว่า พ.ร.ก.เราเป็นหนี้ด้วยกัน 2020 ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเห็นด้วยในการจัดสรรเงินเพื่อช่วยประชาชน แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลได้ข้ามขั้นตอนไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการสำรวจเงินในกระเป๋าของรัฐบาล โดยมีวัตถุประสงค์ใดแอบแฝงหรือไม่ แต่เพราะไม่ต้องใช้เงินในกระเป๋าไปจ่ายหนี้หรือไม่ จึงออก พ.ร.ก.กู้เงิน คนสงสัยว่าจะขอกู้เยอะทำไม ทั้งที่บางโครงการยังไม่มีแผนงาน และกู้ยาวได้ถึง กันยายน 2564 ทำไมไม่ชะลอโครงการที่สามารถชะลอได้ก่อน เช่นการจัดซื้อเรือดำน้ำ พร้อมระบุว่า หากรัฐบาลต้องให้พ.ร.ก. ผ่าน ต้องให้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบการใช้เงินกู้