ในปัจจุบันธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงที่สะท้อนถึงการเติบโตของเทรนด์ “Lazy Economy” หรือ “เศรษฐกิจคนขี้เกียจ”
ที่ทำให้ผู้คนหันมาหาความสะดวกสบายในการทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การซักผ้า
โดยเฉพาะในครัวเรือนที่มีการใช้เวลาและทรัพยากรมากในการทำกิจกรรมนี้ ถือเป็นโอกาสที่สำคัญในการพัฒนาและขยายธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทย
วันนี้ TOMORROW พาไปคุยกับ ‘กวิน นิทัศนจารุกุล’ CEO & Founder ของ Otteri Wash & Dry เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค และโอกาสที่ธุรกิจร้านสะดวกซักกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
[ ไอเดียเริ่มต้นจากสิงคโปร์-มาเลเซีย ]
กวิน ได้กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจร้านสะดวกซักเกิดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ มากว่า 20 ปี จากนั้นเริ่มขยายไปที่ มาเลเซีย ภายใน 4-5 ปี ก่อนจะกระจายไปทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยหนึ่งในเหตุผลที่ธุรกิจนี้เติบโตในมาเลเซียและสิงคโปร์ เป็นเพราะปัญหาฝนตกตลอดเวลาในบางพื้นที่ทำให้การตากผ้าหลังซักเป็นเรื่องยากเพราะอากาศชื้นและแดดน้อยเกินไป
กวิน เริ่มศึกษาไอเดียนี้ รวมถึงตลาดในต่างประเทศที่มีโมเดลธุรกิจนี้ โดยพยายามสังเกตพฤติกรรมของผู้คนว่ามีฟีดแบ็กอย่างไร
ผลก็คือ ผู้คนเริ่มให้ความนิยมในการใช้บริการนี้มากขึ้น เนื่องจากสะดวกสบาย และประหยัดเวลาในการทำกิจกรรมประจำวันอย่าง การซักผ้า
ซึ่งก่อนหน้านี้การซักผ้ามักจะทำที่บ้าน โดยเฉพาะในครอบครัวที่มีเครื่องซักผ้าและมีพื้นที่ตากผ้าสะดวก
แต่ในปัจจุบันพฤติกรรมการซักผ้ากำลังเปลี่ยนไป ผู้คนเริ่มหันมาที่ร้านสะดวกซักที่ให้บริการรวดเร็วและสะดวก พร้อมกับเทคโนโลยีทันสมัยในการซักและอบผ้า
ปัจจุบันครอบครัวในเมืองมักมีการซักผ้าเฉลี่ยประมาณ 20 กิโลกรัมต่อสัปดาห์ ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลาในการซักและตากผ้าถึง 12-16 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
และหากทำที่บ้านก็ไม่เพียงแต่ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการซัก แต่ยังต้องมีพื้นที่ในการตากผ้าที่เหมาะสมเพื่อให้ผ้าแห้งเร็วขึ้น
ดังนั้น ธุรกิจร้านสะดวกซักจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะลูกค้าสามารถซักผ้าปริมาณมากได้ในเวลารวดเร็ว โดยไม่ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง
ต่อมา กวิน ได้อธิบายถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ว่า การขยายตัวของธุรกิจร้านสะดวกซักในไทยเริ่มมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการลงทุนในเทคโนโลยีการซักที่มีประสิทธิภาพ
และการมีช่องทางในการส่งเสริมการตลาดที่หลากหลาย โดยเฉพาะการใช้เทคโนโลยีออนไลน์ในการโปรโมตและการให้บริการลูกค้า
การเปิดร้านสาขาก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ธุรกิจ โดยร้านสะดวกซักในทำเลที่มีประชากรหนาแน่นหรือเป็นแหล่งชุมชนที่มีความต้องการซักผ้า เช่น ย่านหอพัก, คอนโดมิเนียม หรือสถานศึกษา
กวิน ยังเล่าด้วยว่า ธุรกิจร้านสะดวกซักของเขาขยายตัวไปกลุ่มธุรกิจ B2B ด้วย แต่ไม่มีใครรู้ อย่างเช่น ร้านนวด, ร้านทำผม, ฟิตเนส, หรือโรงแรม ที่ต้องการบริการซักผ้าในปริมาณมากๆ ก็ล้วนเป็นลูกค้าเขา
ซึ่งการทำงานร่วมกับธุรกิจเหล่านี้จะช่วยเพิ่มรายได้และสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจร้านสะดวกซักเช่นกัน
ธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีประมาณ 5,000 สาขา และยังมีโอกาสเติบโตอีกมากเมื่อเทียบกับความต้องการในประเทศอื่น ๆ
เช่น มาเลเซียและสิงคโปร์ ที่มีการใช้บริการร้านสะดวกซักสูงถึง 10-15% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่ในประเทศไทยมีผู้ใช้บริการเพียงประมาณ 3 ล้านคน หรือแค่ 4-5% เท่านั้น
ตลาดร้านสะดวกซักในประเทศไทยยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เนื่องจากในต่างประเทศ มีอัตราส่วนร้านสะดวกซักประมาณ 1 ร้านต่อประชากร 6,500-7,000 คน
ซึ่งหมายความว่าในไทยสามารถมีร้านสะดวกซักได้ถึง 10,000 สาขาทั่วประเทศ แต่ตอนนี้มีแค่ประมาณ 5,000 สาขา ทำให้ธุรกิจร้านสะดวกซักในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตอย่างมาก
นอกจากนี้ร้านสะดวกซักในประเทศไทยได้พัฒนาบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น เช่น การเปิดบริการตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ลูกค้าสามารถมาซักผ้าได้ตามความสะดวก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา
ปัจจุบันธุรกิจยังขยายบริการให้มีความหลากหลายเพิ่มมากขึ้น เช่น การซักผ้า, อบผ้า, และพับผ้า ซึ่งช่วยลดเวลาในการทำความสะอาดผ้า และเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้บริการ
โดยการเกิดขึ้นของธุรกิจร้านสะดวกซักถือเป็นการตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค Lazy Economy หรือ “เศรษฐกิจคนขี้เกียจ” ที่เน้นความสะดวกสบายและการประหยัดเวลา
ซึ่งหัวใจสำคัญของธุรกิจ Otteri ที่ ‘กวิน’ เน้นย้ำตลอดก็คือ ‘เวลา’ สินทรัพย์ที่สำคัญที่สุดของคนในยุคนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมธุรกิจร้านสะดวกซักขยายการเติบโตเร็วมาก