ส่งเสริมเกษตกร มันฝรั่งไทย ในขนม ‘เลย์’

30 ปีก่อน (ปี 2538) เป็นครั้งแรกที่เป๊ปซี่โคเข้ามาทำตลาดขนมขบเคี้ยวในไทย อย่าง เลย์, ซันไบทส์, ชีโตสพัฟ, ทวิสตี้และตะวัน โดยแต่ละแบรนด์ใช้เวลาเข้ามาตีตลาดเป็น Top of Mind Brand ของไทยได้ในที่สุด 

หนึ่งในวัตถุดิบที่ไทยป้อนส่งให้ “เป๊ปซี่โค ประเทศไทย” จำนวนมากในแต่ละปีคือ “มันฝรั่ง” เพื่อส่งผลผลิตให้กับ ‘เลย์’ ขนมมันฝรั่งทอดกรอบ มองในแง่ที่วัตถุดิบจากฟาร์มของเกษตรกรไทยเข้าไปสู่โรงงานผลิตขนมเลย์ ด้านหนึ่งช่วยสร้างงานให้เกษตรกร และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผลิตภัณฑ์ 

TODAY Bizview มีโอกาสขึ้นเหนือไปกับ เป๊ปซี่โค ประเทศไทย ดูการทำงานของเกษตรกรและโรงงานผลิตเลย์ ซึ่ง 90% ของมันฝรั่งที่ใช้ในการผลิตเลย์ในไทยก็มาจากภาคเหนือของไทยเอง โดยผลผลิตผ่านการทำงานจากเกษตรกรไทยกว่า 5,800 ราย 

น่าสนใจว่าทางเป๊ปซี่โค ประเทศไทย พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรไทยปลูกมันฝรั่งเพิ่มขึ้นทุกปี เพื่อที่คนไทยจะได้กินมันฝรั่งเลย์จากน้ำพักน้ำแรงเกษตรกรไทย อีกทั้งยังลดการนำเข้ามันฝรั่งจากต่างประเทศด้วย นอกจากนี้ยังมีการสื่อสารผ่านแพ็กเกจจิ้ง มีการใส่ข้อความเกี่ยวกับ “มันฝรั่งไทย” บนบรรจุภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภครับรู้ถึงความเป็นผลิตภัณฑ์จากวัตถุดิบในประเทศอีกด้วย

“ผู้บริโภคชอบสินค้าที่มีความเป็นท้องถิ่น (Local Identity) นี่คือเหตุผลว่าทำไมเป๊ปซี่โคประเทศไทย จึงไม่เพียงแต่ผลิตสินค้า แต่ยังเล่าเรื่องราวของมันฝรั่งไทยในแคมเปญการตลาด เช่น การใช้วัตถุดิบท้องถิ่นช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือ และสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ที่ใส่ใจชุมชน หรือจะเป็นรสชาติพิเศษที่สะท้อนรสชาติท้องถิ่น เช่น รสลาบ รสหมูกระทะ ตอบโจทย์พฤติกรรมการกินของคนไทย”

‘สุริวัสสา สัตตะรุจาวงษ์’ ผู้อำนวยการฝ่ายองค์กรสัมพันธ์และรัฐกิจ ประจำประเทศไทยและเวียดนาม เป๊ปซี่โค ประเทศไทย เล่าให้เราฟัง และทำให้ได้รู้ว่า 90% ของมันฝรั่งที่ใช้ในการผลิตเลย์มาจากภาคเหนือของไทยที่เหลือยังคงนำเข้าจากประเทศที่ได้รับอนุญาติ

สำหรับในประเทศไทยโครงการส่งเสริมการปลูกมันฝรั่งของเป๊ปซี่โค คิดเป็นผลผลิตมันฝรั่งในไทยมากกว่า 94,000 ตันต่อปี เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในรอบหลายปีที่ผ่านมา 

ในราคารับซื้อมันฝรั่งจากเกษตรกรทางเป๊ปซี่โคฯ ให้ราคาสูงกว่าตลาด และด้วยสภาพแวดล้อมประเทศไทยสามารถปลูกมันฝรั่งได้แค่ปีละครั้งในช่วงปลายปี พอมันฝรั่งหมดผลผลิต เกษตรกรก็สามารถปรับหน้าดินปลูกพืชตามฤดูกาลได้ต่อ 

นอกจากนี้ เป๊ปซี่โคยังนำ เทคโนโลยีการเกษตร (AgTech) และนวัตกรรมใหม่ๆ มาปรับใช้เพื่อช่วยเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุนอีกด้วย เช่น การใช้โดรนทางการเกษตร (Agro Drone Scout) วิเคราะห์สุขภาพพืชและโรคแมลง และระบบน้ำหยดอัจฉริยะ ช่วยให้เกษตรกรใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงยังการพัฒนาพันธุ์มันฝรั่งที่เหมาะสมกับสภาพอากาศของไทย

อย่างไรก็ตาม เราคงทราบกันดีว่าตอนนี้เทรนด์ผู้บริโภคยุคใหม่ใส่ใจเรื่อง สิ่งแวดล้อม และ ความยั่งยืน มาแรง ด้านเป๊ปซี่โคจึงใช้กลยุทธ์นี้มาเป็นส่วนหนึ่งของการตลาด เช่นโรงงานผลิตใช้พลังงานสะอาด มี Solar Rooftop ที่สามารถผลิตพลังงานได้ครอบคลุมอาคารโรงงานมากกว่า 90% โครงการลดการใช้น้ำ ใช้ระบบ VAM System ที่นำไอน้ำจากกระบวนการทอดมันฝรั่งกลับมาใช้ใหม่ การจัดการขยะในโรงงานมีการแยกขยะเป็น 3 ประเภท (รีไซเคิล, อันตราย, ทั่วไป)

เป๊ปซี่โค ประเทศไทยได้ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้น Local Sourcing + เทคโนโลยี + ความยั่งยืน ทำให้สามารถเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับชีวิตของผู้บริโภคได้นั่นเอง