พี่สาว‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ นั่งหัวหน้า ‘เพื่อชาติ’ ส่วน ‘ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์’ นั่งเลขาฯ

‘บุศริณธญ์’พี่สาว‘ยงยุทธ ติยะไพรัช’ นั่งหัวหน้าพรรค ‘เพื่อชาติ’ ส่วน ‘ภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์’ นั่งเลขาฯ  

วันที่ 3 เม.ย. 2564 พรรคเพื่อชาติจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ภายหลังนายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ลาออกจากหัวหน้าพรรค โดยมีสมาชิกพรรคเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพียง โดยผลการเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ปรากฏว่า นางบุศริณธญ์ วรพัฒนานันน์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค นายเทวกฤต พรหมมา เป็นรองหัวหน้าพรรค นายภูมิพัฒน์ พชรทรัพย์ เป็นเลขาธิการพรรค นายองอาจ คำทอง และ น.ส.เกศปรียา แก้วแสนเมือง เป็นรองเลขาธิการพรรค น.ส.กิ่งดาว สุจริต เป็นเหรัญญิกพรรค นางณัฏฐพิชา มีกองทรัพย์ เป็นนายทะเบียนพรรค นายภูมิพัฒน์ บุตุธรรม เป็นผู้อำนวยการพรรค นายกัมปนาท วงศ์หงษ์กุล เป็นโฆษกพรรค นายธีรพงษ์ เผ่ากา และว่าที่ ร.ต.ณัฐชัย วิอังศุธร เป็นรองโฆษกพรรค น.ส.รสรินทร์ ศรัณย์เกตุ น.ส.วิภาลักษณ์ เตชะภู และนายเกริกมนตรี รุจโสตถิรพัฒน์ เป็นกรรมการบริหารพรรค ทั้งนี้ นางบุศริณธญ์เป็นพี่สาวของนายยงยุทธ ติยะไพรัช แกนนำพรรคเพื่อชาติ และเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่ 6 ของพรรคด้วย ขณะที่นายสงครามนั้น ได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานที่ปรึกษา และประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ

ด้านนายสงคราม ให้สัมภาษณ์ถึงการลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคว่า เกี่ยวข้องกับกรณีที่โหวตงดออกเสียงไม่ไว้วางใจ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาหรือไม่ว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่ง แต่การโหวตงดออกเสียงนั้นเพาะตนเห็นว่า ความผิดของเขาไม่ใช่เรื่องรุนแรง และสามารถชี้แจงได้ เมื่อเราเคยถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ยัดข้อหาหรือการกล่าวหามา ตนจึงอยากจะทำตัวอย่างให้ดูว่า เมื่อไม่ร้ายแรงก็งดออกเสียง ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับผู้ที่ชอบใส่ร้ายป้ายสี หรือชอบยัดข้อหาให้กับฝ่ายตรงข้าม จะได้สำนึกว่าไม่ควรทำแบบนี้

นายสงคราม กล่าวอีกว่า การลาออกก็เพราะต้องการให้คนอื่นมาทำหน้าที่นี้ เพราะตนเชื่อมั่นว่าพรรคมีคนที่มีความรู้ความสามารถเป็นหัวหน้าพรรคได้ และสามารถทำได้ดี แต่ถ้าอนาคตพรรคได้คะแนนเสียงมากขึ้น ก็สามารถที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีได้ ไม่จำเป็นต้องใครคนใดคนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตนลาออกนั้น เป็นเพราะตอนตั้งพรรคใหม่ๆ ตั้งใจว่าจะมีเสียงในสภาฯ เกินกว่า 10 เสียงขึ้นไป ในเมื่อตนไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ตนก็ไม่ควรที่จะต้องอยู่ต่อ แต่หลังเลือกตั้งถ้าลาออกตั้งแต่ตอนนั้นจะทำให้เกิดความวุ่นวาย เกิดความไม่เชื่อมั่นของสมาชิกพรรค แต่ตอนนี้ผ่านมาแล้ว 2 ปี จึงเห็นว่าสมควรที่จะให้สมาชิกพรรคตัดสินใจเองได้