‘ไฟเซอร์’ เปิดข้อมูลวัคซีนเข็ม 3 ช่วยกระตุ้นแอนติบอดีต้านเดลตา เทียบเข็ม 2 แล้วดีขึ้นกว่า 5-11 เท่า

รายงานประจำไตรมาสของไฟเซอร์เผยผลทดสอบแอนติบอดีหลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ชี้ประสิทธิภาพ 2 เข็มลดลงหลังผ่านไป 6 เดือน พร้อมยืนยันว่าผลิตวัคซีนต้านเดลตาออกมาแล้ว 

วันที่ 29 ก.ค. 2564 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น (CNN) รายงานว่า ไฟเซอร์ (Pfizer) ได้ทำการเปิดเผยข้อมูลใหม่ในการใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ฉีดกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 โดยชี้ว่าสามารถกระตุ้นแอนติบอดีสำหรับต้านไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม รวมทั้งไวรัสกลายพันธุ์ทั้งชนิดสายพันธุ์เบตา (แอฟริกาใต้) และสายพันธุ์เดลตา (อินเดีย) ได้ดีขึ้น

จากข้อมูลที่ไฟเซอร์เผยในรายงานผลประกอบการประจำไตรมาสที่ 2/2021 ชี้ว่า การฉีดวัคซีนไฟเซอร์-ไบออนเทคเป็นเข็มที่ 3 โดยเว้นระยะห่างจากเข็มที่ 2 อย่างน้อย 6 เดือน ช่วยให้มีระดับแอนติบอดีสำหรับต้านไวรัสสายพันธุ์ดั้งเดิม เมื่อเทียบกับการฉีด 2 เข็ม เพิ่มขึ้น 5-8 เท่า และต้านสายพันธุ์เบตาเพิ่มขึ้น 15-21 เท่า

สำหรับข้อมูลการทดสอบระดับแอนติบอดีที่ต้านสายพันธุ์เดลตานั้น มีการลงรายละเอียดลึกลงไปในกลุ่มอายุ โดยกลุ่มอายุ 18-55 ปีจะมีระดับแอนติบอดีสูงขึ้นมากกว่า 5 เท่า และในกลุ่มอายุ 65-85 ปี สูงขึ้นกว่า 11 เท่า

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันชัดเจนว่าระดับแอนติบอดีที่เพิ่มขึ้นจะสามารถป้องกันได้ดีขึ้นหรือไม่ เนื่องจากต้องพิจารณาถึงปัจจัยอื่นๆ ประกอบกัน

นอกจากข้อมูลเรื่องการฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 แล้ว ทางไฟเซอร์ยังเปิดเผยว่าได้ผลิตวัคซีนโควิด-19 สำหรับป้องกันสายพันธุ์เดลตาออกมาแล้ว โดยจะเริ่มทำการทดสอบทางคลินิกในเดือนส.ค.นี้หากได้รับอนุมัติจากหน่วยงานที่ควบคุม

ขณะที่ข้อมูลอีกส่วนที่น่าสนใจ คือการเปิดเผยว่า ประสิทธิภาพของวัคซีนไฟเซอร์จะค่อยๆ ลดลง จาก 96.2% ในช่วง 1 สัปดาห์ถึง 2 เดือนหลังฉีดเข็มที่ 2 เหลือราว 84% หลังจากผ่านไปแล้ว 6 เดือน

อัลเบิร์ต เบอร์ลา ซีอีโอของไฟเซอร์ยกตัวอย่างข้อมูลจากอิสราเอล ที่เคยมีอัตราการเข้าโรงพยาบาลลดลง 100% หลังฉีดวัคซีน พอผ่านไป 6 เดือน อัตราส่วนดังกล่าวลดลงเหลือราว 80 กลางๆ ถึง 90 ต้นๆ

ก่อนหน้านี้องค์การอาหารและยา (FDA) และ ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งชาติ (CDC) ของสหรัฐฯ ออกมายืนยันว่า จะยังไม่มีการฉีดวัคซีนกระตุ้นเข็ม 3 ในตอนนี้ และการตัดสินใจดังกล่าวไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตฝ่ายเดียวว่าจำเป็นต้องฉีดกระตุ้นเมื่อใด