อังกฤษเผยงานวิจัย วัคซีน ‘ไฟเซอร์’ ประสิทธิภาพลดเร็วกว่า ‘แอสตร้าเซนเนก้า’

นักวิจัยอ็อกซ์ฟอร์ดชี้ ประสิทธิภาพวัคซีนไฟเซอร์ลดลงมาเท่ากับแอสตร้าเซนเนก้าหลังผ่านไป 4-5 เดือน 

วันที่ 19 ส.ค. 2564 สำนักข่าวเอเอฟพี (AFP) รายงานผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด ที่นำข้อมูลทางสถิติของผู้ที่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของ ไฟเซอร์-ไบโอเอ็นเทค (Pfizer-BioNTech) มาเปรียบเทียบกับของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) 

งานวิจัยตัวนี้เพิ่งจะได้รับการตีพิมพ์ในวันนี้ และยังต้องรอกระบวนการ Peer Review หรือการตรวจทานโดยผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ต่อไป

ผลการวิจัยเผยว่า วัคซีนของไฟเซอร์มีประสิทธิผลที่ดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ หลังได้รับการฉีดโดสที่ 2 ไปแล้ว แต่หลังจากผ่านไป 4-5 เดือน ประสิทธิผลของวัคซีนทั้งสองตัวกลับอยู่ในระดับเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม ทางผู้วิจัยระบุว่า แม้ตัวเลขของไฟเซอร์จะลดลงมาเล็กน้อย แต่ยังถือว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก เนื่องจากตัววัคซีนนั้นป้องกันได้ดีมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น โดยยังคงต้องมีการศึกษาในระยะยาวต่อไป

โดยการศึกษาครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่ทางนักวิจัยเห็นว่า ประเทศอิสราเอลเริ่มฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มที่ 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หลังจากที่มีประชากรได้รับวัคซีน 2 โดสไปแล้วถึง 58% 

ต่อมาจึงได้มีการนำข้อมูลจากการสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติของสหราชอาณาจักร ที่มีผลการตรวจเชื้อแบบ PCR ตั้งแต่เดือนธ.ค. ปีก่อน จนถึงเดือนนี้ 

ทางผู้วิจัยแบ่งกลุ่มตัวอย่าง 300,000 คนที่มีอายุเกิน 18 ปี ออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกคือช่วงที่เชื้อกลายพันธุ์สายพันธุ์อัลฟาระบาด และอีกกลุ่มคือช่วงเดือนพ.ค. เป็นต้นมา ที่มีการระบาดของเชื้อสายพันธุ์เดลตาเป็นวงกว้าง 

มีการยืนยันว่าวัคซีนทั้งสองตัวมีประสิทธิภาพน้อยลงเมื่อเผชิญกับเชื้อสายพันธุ์เดลตา

วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเป็นวัคซีนหลักที่ใช้ฉีดมากที่สุดในสหราชอาณาจักร ส่วนวัคซีนไฟเซอร์นั้นถูกนำไปฉีดให้กับกลุ่มที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงที่จะเกิดลิ่มเลือดในประชากรกลุ่มดังกล่าว